คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5544/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ลูกหนี้มอบเงินสดไว้เป็นประกันการทำหนังสือค้ำประกันของเจ้าหนี้ เงินวางประกันจึงเป็นเงินที่เจ้าหนี้ผู้ค้ำประกันจะต้องคืนเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้หากเจ้าหนี้ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก ต่อเมื่อเจ้าหนี้ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกแล้วเจ้าหนี้จึงจะนำเงินดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับจำนวนเงินที่เจ้าหนี้ชำระไปได้ สมควรกำหนดจำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้อาจได้รับชำระหนี้เต็ม ตามจำนวนเงินในหนังสือค้ำประกันโดยกำหนดเงื่อนไขให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ต่อเมื่อเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกไปตามหนังสือค้ำประกันโดยหักเงินวางประกันออกจากจำนวนเงินที่ลูกหนี้จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ก่อน.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจาก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย) ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2529 ธนาคารทหารไทย จำกัด เจ้าหนี้รายที่ 23 ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน จำนวน 1,607,391 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ยังมิได้ถูฏเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันจากเจ้าหนี้ (ผู้ว่าจ้าง) ซึ่งเป็นคู่สัญญากับบริษัทลูกหนี้ตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับ และเจ้าหนี้ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญาคำ้ประกันอันจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 693 ลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ในมูลหนี้ดังนี้ดังกล่าว เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสียงทั้งสิ้นตามมาตรา 107(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน1,293,441 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 107(3), 130(8)
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลฎีกาว่าสมควรกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้หรือไม่และสมควรกำหนดเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมอย่างไร สำหรับประเด็นแรกข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เจ้าหนี้ได้ทำหนังสือค้ำประกันโดยยอมรับผิดต่อบุคคลภายนอกรวม 5 ฉบับ ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารเอกสารหมาย จ.3/2, จ.4/2, จ.5/2, จ.6/2 และ จ.7/2 รวมเป็นเงิน 1,312,241 บาท โดยลูฏหนี้มอบเงินสดไว้เป็นประกันการทำหนังสือค้ำประกันทั้ง 5 ฉบับ ดังกล่าวให้เจ้าหนี้ไว้เป็นเงิน 18,800 บาทและในขณะที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ยังคงผูกพันตามหนังสือค้ำประกันทั้ง 5 ฉบับอยู่ กับไม่ปรากฏว่าบุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเรียกให้เจ้าหนี้ชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกันได้ใช้สิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เจ้าหนี้ผู้ค้ำประกันจึงยังคงผูกพันและอาจต้องชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกันทั้ง 5 ฉบับรวมเป็นเงิน 1,312,241 บาท เจ้าหนี้จึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระหนี้และอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยลูกหนี้ในเวลาภายหน้าได้ ตามนัยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 101คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยประการแรกว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้หักเงินสดที่ลูกหนี้วางเป็นประกันไว้กับเจ้าหนี้จำนวน 18,800 บาท ออกจากหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระมา และอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 1,293,441บาท โดยไม่กำหนดเงื่อนไขในการได้รับชำระหนี้นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่าเงินวางประกันจำนวน 18,800 บาท เป็นเงินที่เจ้าหนี้จะต้องคืนเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้หากเจ้าหนี้ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าว หากเจ้าหนี้ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอก เจ้าหนี้จึงจะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับจำนวนเงินที่เจ้าหนี้ชำระไปได้ ทั้งนี้ที่เจ้าหนี้อาจต้องรับผิดตามหนังสือค้ำประกันแต่ละฉบับก็ไม่เท่ากัน อาจหักกลบไม่เต็มจำนวนเงิน 18,800 บาท จึงยังไม่แน่นอนว่าจะหักกลบลบหนี้กันหรือไม่ จำนวนมากน้อยเท่าใด เห็นสมควรกำหนดจำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้อาจได้รับชำระหนี้เต็มตามจำนวนเงินในหนังสือค้ำประกันทั้งห้าฉบับรวมเป็นเงิน 1,312,241 บาท เสียก่อน และกำหนดเงื่อนไขในการได้รับชำระหนี้ไว้ด้วย…”
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน1,312,241 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ต่อเมื่อเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกไปตามหนังสือค้ำประกันโดยหักเงินจำนวน 18,800 บาท ออกจากจำนวนเงินทที่ลูกหนี้จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.

Share