แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 เป็นการไม่ชอบ และฎีกาที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีขัดกับพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบ เป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ได้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83 จำคุก 1 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนงาน มาตรา 4,30,82, จำคุก3 ปี เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 100)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 103)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานผิดไปจากห้องสำนวนเพราะพยานโจทก์คนหนึ่งไม่ได้เบิกความดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพราะการวินิจฉัยในข้อดังกล่าวจะมีหรือไม่มีก็ไม่ทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปได้ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาข้อนี้ชอบแล้วปัญหาว่า กรณีจะต้องใช้พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานฉบับใดบังคับแก่คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ไว้พิจารณา