แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร อีกทั้งตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ซึ่งแนบมาท้ายคำฟ้องและถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บถึงทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันแต่อย่างใดดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้าย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่กล่าวในคำฟ้อง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง คงลงโทษได้เพียงตาม ป.อ. มาตรา 295 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 69 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมชั้นสอบสวน และชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) และให้คืนมีดพร้าของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยไปทวงเงินค่าหมูจำนวน 125 บาท จากนางทองนุ้ยเป็นไฝ ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ให้จึงเกิดโต้เถียงกัน ผู้เสียหายหยิบมีดพร้าของกลาง จำเลยเข้าแย่งมีดพร้าจากผู้เสียหาย ต่อมาปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลที่บริเวณหน้าอก แขน และขา รายละเอียดบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย นายบุญมีหรือศรี และนางฉลวยพรือพิน เป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่าหลังจากผู้เสียหายกับจำเลยโต้เถียงกันแล้ว ผู้เสียหายหยิบมีดพร้าของกลางขึ้นมาจำเลยเข้าไปชกผู้เสียหายและแย่งมีดพร้าดังกล่าวไปจากผู้เสียหาย หลังจากนั้นได้ใช้มีดพร้าฟันไปที่ผู้เสียหายถูกที่บริเวณหน้าอก แขน และขา เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันและพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นญาติของจำเลย จึงไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกณรงค์ พนักงานสอบสวน พยานโจทก์ว่า ในชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยว่าพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพว่า จำเลยใช้มีดพร้าของกลางฟันผู้เสียหายหลายครั้ง ตามบันทึกคำให้การ ประกอบกับเมื่อพิจารณาตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลหลายแห่ง โดยเฉพาะบาดแผลฉีกขาดรุ่งริ่งที่แขนซ้ายลึกถึงกล้ามเนื้อยาว 25 เซนติเมตร ซึ่งก็สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยขว้างมีดพร้าของกลางใส่ผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวนั้น ขัดต่อร่องรอยบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์จึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยใช้มีดพร้าของกลางฟันผู้เสียหาย และได้ความว่าเมื่อจำเลยแย่งมีดพร้าของกลางจากผู้เสียหายแล้ว ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยจึงไม่มีภัยอันจะเป็นการละเมิดต่อกฎหมายการที่จำเลยใช้มีดพร้าของกลางฟันผู้เสียหาย จึงไม่เป็นการป้องกัน ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษจำเลยเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว และตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษจำคุก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรวยสาหัสอย่างไร อีกทั้งตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ซึ่งแนบมาท้ายคำฟ้องและถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บถึงทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้าย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่กล่าวในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง คงลงโทษได้เพียงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เท่านั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ลงโทษจำคุก 8 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9