แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องโดยประสงค์ขอให้ศาลบังคับมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาทำนาหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ส่วนที่ดินดังกล่าวมีเท่าไรนั้น แม้ตามคำขอท้ายฟ้องจะระบุว่า 45 ไร่ ก็เพียงแต่ประมาณเอา ครั้นเมื่อ มีการทำแผนที่พิพาท จำเลยชี้เขตเข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ 57 ไร่เศษ ก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยพิพาทกันในเนื้อที่ 57 ไร่เศษ และเป็นที่ดินที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลย ทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่คำนวณภายหลังจากที่ได้มีการทำแผนที่พิพาทแล้ว ดังนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ 57 ไร่เศษ จึงไม่เป็นการเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารงดการทำนาและเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 45 ไร่ และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าจำเลยทำนาในที่ดินของจำเลยไม่เคยบุกรุกที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารงดทำนา และมิให้เกี่ยวข้องในที่พิพาทเนื้อที่ 45 ไร่ของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน (โดยวินิจฉัยว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ 57 ไร่ 49 ตารางวา)
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าคำขอท้ายฟ้องระบุไว้ชัดเจนว่าให้จำเลยและบริวารงดการทำนาและห้ามมิให้เกี่ยวข้องในที่ดิน 45 ไร่ การที่ศาลอุทธรณ์ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 57 ไร่เศษ เป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องโดยประสงค์ขอให้ศาลบังคับมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาทำนาหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ส่วนที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่เท่าไรนั้น เพียงแต่ประมาณเอา ครั้นเมื่อมีการทำแผนที่พิพาทจำเลยชี้เขตเข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ 57 ไร่เศษ ก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยพิพาทกันในเนื้อที่57 ไร่เศษ และเป็นที่ดินที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลย ทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่คำนวณภายหลังจากที่ได้มีการทำแผนที่พิพาทแล้ว ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ 57 ไร่เศษจึงไม่เป็นการเกินคำขอ
พิพากษายืน