คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5473/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า เมื่อปี 2538 จำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดกับที่ดินของจำเลย และเมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ขัดขวางการรังวัด โดยอ้างว่าที่ดินบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ที่โจทก์นำชี้อยู่ในเขตที่ดินของจำเลย ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจรังวัดที่ดินให้โจทก์ได้อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวและเรียกค่าเสียหาย คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงแสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งตอนแรกว่าจำเลยไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ทำประโยชน์ในช่วงที่ดินของจำเลย ซึ่งมีคันนาและต้นไม้แสดงอาณาเขตที่ดินของจำเลยไว้ชัดเจน จำเลยไม่เคยทำละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย แต่จำเลยกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า จำเลยได้ทำนาและทำกินในที่ดินพิพาทซึ่งมีแนวคันนาและต้นไม้แสดงอาณาเขตด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในส่วนที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ คำให้การและฟ้องแย้งตอนหลังของจำเลยจึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งตอนแรกซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 4028 จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ และขัดขวางการรังวัดอ้างว่าที่ดินบางส่วนที่โจทก์นำชี้อยู่ในเขตที่ดินของจำเลย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์หรือขัดขวางการรังวัดที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยครอบครองที่ดินของโจทก์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้ที่ดินส่วนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวแก่จำเลย หากโจทก์ไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางนาถฤดี สิทธิสมวงศ์ ภริยายื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 4028 ตำบลทางข้ามน้อย อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 มีนาคม 2538) จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในประการแรกมีว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์บริเวณใด มีเนื้อที่เท่าใด ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่า เมื่อปี 2538 จำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ทางด้านที่ติดกับที่ดินของจำเลย และเมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ขัดขวางการรังวัดโดยอ้างว่าที่ดินบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ที่โจทก์นำชี้อยู่ในเขตที่ดินของจำเลย ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจรังวัดที่ดินให้โจทก์ได้ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวและเรียกค่าเสียหาย คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงแสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ชอบด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทมากว่า 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้ามาในที่ดินดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยและบริวารมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยให้การและฟ้องแย้งตอนแรกว่าจำเลยไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ทำประโยชน์ในส่วนที่ดินของจำเลยซึ่งมีคันนาและต้นไม้แสดงอาณาเขตที่ดินของจำเลยไว้ชัดเจน จำเลยไม่เคยทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของจำเลย แต่จำเลยกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่าจำเลยได้ทำนาและทำกินในที่ดินพิพาทซึ่งมีแนวคันนาและต้นไม้แสดงอาณาเขตด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2519 นับถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย คำให้การและฟ้องแย้งตอนหลังของจำเลย จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งตอนแรกซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การและฟ้องแย้งดังกล่าว จึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน

Share