คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5449/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ครั้งแรกในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์แทนที่จะยื่นในคดีที่มีการออกหมายบังคับคดีอันเป็นการยื่นผิดสำนวน แต่ศาลในคดีที่ออกหมายบังคับคดีกับศาลในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์เป็นศาลเดียวกันคือศาลแพ่ง ทั้งตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวก็ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าขอเฉลี่ยจากทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดไว้ในคดีนี้ ซึ่งถือได้ว่าผู้ร้องได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ครั้งแรกโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้อายัดทรัพย์ของ จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 1(1) แล้ว
ผู้ร้องยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ไว้ในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ แม้ต่อมาศาลในคดีดังกล่าวได้มีคำสั่งยกคำขอเฉลี่ยทรัพย์ แต่ก็เพื่อที่จะให้ผู้ร้องมายื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้เสียให้ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเท่านั้นหาทำให้สิทธิของผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลโดยชอบแล้วข้างต้นต้องเสียไปไม่ เมื่อคำขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องที่ได้ยื่นไว้ครั้งแรกยังไม่พ้นระยะเวลาตามกฎหมายแม้ผู้ร้องจะยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ต้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ก็ตาม ก็ต้องถือว่าผู้ร้องได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินที่จำเลยที่ ๒ มีสิทธิจะได้รับจากการรถไฟแห่งประเทศไทยตามคำขอของโจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาจำเลยที่ ๒ ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดไว้ในคดีนี้และผู้ร้องเลยยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์รายนี้ ไว้ในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์แล้วขอศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิเข้าเฉลี่ยทรัพย์รายนี้
โจทก์แถลงคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอเฉลี่ยหนี้เข้ามาในคดีนี้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ทั้งผู้ร้องยังสามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒ ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยหนี้กับโจทก์ได้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นที่ประสงค์จะเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินดังกล่าวให้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลที่ ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้น ดังนั้นแม้ผู้ร้องจะยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ครั้งแรกไว้ในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์แทนที่จะยื่นในคดีนี้อันเป็นการยื่นผิดสำนวนไปก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้ออกหมายบังคับคดีกับศาลชั้นต้นในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์เป็นศาลเดียวกันคือศาลแพ่ง ทั้งตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวก็ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าขอเฉลี่ยจากทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดไว้ในคดีนี้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ครั้งแรกโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้อายัดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นแล้วที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลที่ออกหมายบังคับคดีย่อมหมายถึงผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผู้ออกหมายบังคับคดี เมื่อผู้ร้องยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ครั้งแรกไว้ในคดีอื่น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำขอที่ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้นเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑(๑) ได้บัญญัติว่า “ศาล” หมายความว่า ศาลยุติธรรมหรือผู้พิพากษาที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ดังนั้นคำว่า ศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๒๙๐ วรรคแรกสำหรับคดีนี้นอกจากจะหมายถึงผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนี้แล้วยังหมายถึงศาลแพ่งด้วย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อผู้ร้องยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ไว้ในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ ต่อมาศาลในคดีดังกล่าวได้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย ย่อมถือได้ว่าคำร้องนั้นได้ถูกเพิกถอนไปแล้ว การที่ผู้ร้องมายื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้อีกจึงพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น เห็นว่า เหตุที่ศาลในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์มีคำสั่งยกคำขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องในคดีดังกล่าวก็เพื่อที่จะให้ผู้ร้องไปยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้เสียให้ถูกต้องทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการไต่สวนคำร้องดังกล่าวของผู้ร้องเท่านั้น หาทำให้สิทธิของผู้ร้องซึ่งได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นโดยชอบดังได้กล่าวแล้วข้างต้นต้องเสียไปไม่ เมื่อคำขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องที่ได้ยื่นไว้ครั้งแรกยังไม่พ้นระยะเวลา ๑๔ วัน นับแต่วันที่การรถไฟแห่งประเทศไทยส่งเงินของจำเลยที่ ๒ มายังเจ้าพนักงานบังคับคดีเช่นนี้จึงต้องถือว่าผู้ร้องได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้วและคดีนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีทรัพย์สินอื่นอีก นอกจากทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดไว้ในคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยหนี้ได้ตามคำร้องของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share