คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9047/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุที่จะถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 8 ต้องเป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่ความผิดของบุคคลผู้นั้นและต้องเป็นเหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้ แม้บุคคลผู้ประสบเหตุนั้นจะได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว การที่จำเลยได้ประกาศขายโครงการก่อสร้างบ้านที่พักอาศัยแก่ประชาชนโดยทั่วไปรวมทั้งโจทก์ไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้ตระเตรียมเงินลงทุนไว้ให้พร้อมเสียก่อน เมื่อเกิดมีปัญหาเกี่ยวกับเงินลงทุนโดยสถาบันการเงินระงับการให้กู้ในระหว่างนั้นอันเป็นผลมาจากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นเหตุให้การดำเนินกิจการโครงการก่อสร้างหยุดชะงักอันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าการที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับเงินลงทุนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยโดยแท้ที่ไม่เตรียมป้องกันทั้ง ๆ ที่สามารถป้องกันได้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินมัดจำและที่ผ่อนชำระเพื่อซื้อบ้านไปแล้วจำนวน ๓๕๑,๖๗๔.๔๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๓๖,๒๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ดำเนินการก่อสร้างโดยปรับพื้นที่โครงการ วางสาธารณูปโภค ยังคงเหลือเฉพาะการก่อสร้างตัวบ้านเท่านั้น เหตุที่ก่อสร้างล่าช้าเนื่องจากสถาบันการเงินงดปล่อยสินเชื่อ จึงขาดเงินทุนในการก่อสร้างบ้านตามโครงการ โจทก์ถือโอกาสบอกเลิกสัญญาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยยังไม่ผิดนัด ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงร่วมกันโดยจำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามคำฟ้อง หนี้ถึงกำหนดชำระจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา เพียงแต่จำเลยยกข้อต่อสู้ในประเด็นที่ว่า เหตุที่ไม่สามารถก่อสร้างบ้านให้เสร็จตามสัญญาได้ เนื่องจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่จำเลยเพื่อนำมาลงทุนในการก่อสร้าง โจทก์แถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๓๓๖,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยค้างชำระนับถึงวันฟ้อง ต้องไม่เกิน ๑๕,๔๗๔.๔๑ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่สถาบันการเงินไม่ปล่อยเงินกู้แก่จำเลยเพื่อนำมาลงทุนก่อสร้างบ้านพิพาทนั้น ถือได้หรือไม่ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘ บัญญัติว่า คำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเห็นได้ว่า เหตุที่จะถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยนั้นต้องเป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่ความผิดของบุคคลผู้นั้น และต้องเป็นเหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้แม้บุคคลผู้ประสบเหตุนั้นจะได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว การที่จำเลยได้ประกาศขายโครงการก่อสร้างบ้านที่พักอาศัยแก่ประชาชนโดยทั่วไปรวมทั้งโจทก์ไปแล้ว โดยที่ยังไม่ได้ตระเตรียมเงินลงทุนไว้ให้พร้อมเสียก่อน เมื่อเกิดมีปัญหาเกี่ยวกับเงินลงทุนโดยสถาบันการเงินระงับการให้กู้ในระหว่างนั้น อันเป็นผลมาจากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จึงเป็นเหตุให้การดำเนินกิจการโครงการก่อสร้างหยุดชะงัก อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าการที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับเงินลงทุนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยโดยแท้ที่ไม่เตรียมป้องกันทั้ง ๆ ที่สามารถป้องกันได้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดไปได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๓๖,๒๐๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒.

Share