แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตัวจำเลยในคดีอาญา ป.วิ.อ. มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15 ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ที่ใช้ บังคับอยู่ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้บัญญัติว่า ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้อง เสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น แล้วแต่กรณีอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวง หรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะ ฯลฯ การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์อันเป็นหลักประกันโดยอ้างว่า การขายทอดตลาดดำเนินการไปโดยไม่ชอบ จึงเป็นกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาร้องว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ผู้ร้องจึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดที่ดินในวันที่ 5 มิถุนายน 2539 ผู้ซื้อทรัพย์ซื้อได้ในราคา 300,000 บาท ผู้ซื้อทรัพย์ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วนแล้ว และได้จดทะเบียนรับโอนสิทธิครอบครอง ที่ดินดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2539 ตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2539 ซึ่งได้รายงานว่ามีการทำบัญชีแสดงรายการรับและจ่ายเงินในคดีนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งในรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เดือนเดียวกันว่า ส่งเงินจำนวน 200,000 บาท ไปยังศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกนายประกันรับเงินที่เหลือคืน เอกสารในสำนวนการยึดทรัพย์ถัดมาปรากฏเป็นสำเนาหมายแจ้งผู้ร้องให้ไปตรวจรับรองบัญชีแสดงรายการรับและจ่ายเงินและรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 83,231 บาทและมีปรากฏรายงานการส่งหมายของเจ้าหน้าที่ว่าได้จัดการส่งหมายแจ้ง ดังกล่าวให้ผู้ร้องแล้วเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 โดยวิธีปิดหมาย นอกจากนี้ยังปรากฏสำเนาหนังสือถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไม่ลงวันที่ แต่ลงเดือนพฤศจิกายน 2539 ว่าขอส่งบัญชีแสดงรายการรับและจ่ายเงินจำนวน 1 ฉบับ และเช็คธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 200,000 บาท เป็นเงินค่าปรับนายประกัน และลงชื่อหัวหน้าสำนักงานบังคับคดี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานบังคับคดีของ ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถือเป็นเจ้าพนักงานของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งถือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา การยึดหลักประกัน การขายทอดตลาด ตลอดจนการรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเป็นการดำเนินการตามคำสั่งของ ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดและรับเงินที่ได้ จากการขายทอดตลาดจัดทำบัญชีส่วนแบ่งเสร็จสิ้นแล้ว และรายงานศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พร้อมบัญชีส่วนแบ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2539 ว่าส่งเงิน 200,000 บาท ไปยังศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรียก นายประกันรับเงินส่วนที่เหลือคืน ถือได้ว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้วตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งดังกล่าว โดยไม่ต้องพิจารณาว่าศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วหรือไม่ เพราะเป็นกระบวนการภายในของศาลเอง ผู้ร้องมายื่นคำร้องคดีนี้ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2539 อันเป็นเวลาภายหลังการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีนี้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 จำคุก 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม แล้วคงจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 100,000 บาท แก่โจทก์ร่วม จำเลยอุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอปล่อยจำเลยชั่วคราว โดยมีหลักประกันเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 302 หมู่ที่ 5 ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยตีราคาประกัน 200,000 บาท ถึงวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ร้องผิดสัญญาประกันไม่สามารถนำจำเลยไปฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปรับผู้ร้องเป็นเงิน 200,000 บาท ตามสัญญาประกัน ต่อมาศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ในฐานะผู้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. พนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 (8) ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งเป็นหลักประกันของผู้ร้องออกขายทอดตลาด ได้มีการประกาศขายทอดตลาดรวม 10 ครั้ง แต่มีเหตุต้องเลื่อนการขายทุกครั้ง เนื่องจากไม่มีผู้เสนอราคา ครั้งสุดท้ายเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดวันที่ 5 มิถุนายน 2539 ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองเป็นผู้เสนอราคาเป็นเงิน 300,000 บาท ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว
เจ้าพนักงานบังคับคดียื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว
ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นนายประกันผิดสัญญาประกัน ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ร้องเป็นเงิน 200,000 บาท ผู้ร้องไม่ชำระค่าปรับ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 302 อันเป็นหลักประกันเพื่อการขายทอดตลาดโดยตีราคาประเมินเป็นเงิน 253,125 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดมาแล้ว รวม 10 ครั้ง แต่ไม่สามารถขายได้เนื่องจากไม่มีผู้เข้าสู้ราคา ครั้งสุดท้าย เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดในวันที่ 5 มิถุนายน 2539 ซึ่งผู้ร้องได้ทราบกำหนดวันขายทอดตลาดดังกล่าวแล้ว แต่มิได้ไปดูแลการขาย มีผู้เข้าสู้ราคา 3 คน ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองซื้อได้ในราคา 300,000 บาท ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองได้ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วน และได้จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวมาเป็นของผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2539 ปรากฏว่าในวันที่ 21 กันยายน 2537 เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เคยประเมินราคาที่ดินดังกล่าวไว้เป็นเงิน 3,145,000 บาท แต่ในวันจดทะเบียนสิทธิให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสอง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ประเมินราคาที่ดินเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็นเงิน 4,157,500 บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2539
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองเป็นข้อแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้หรือไม่ เห็นว่า การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตัวจำเลยในคดีอาญา ป.วิ.อ. มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15 ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้บัญญัติว่า ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น แล้วแต่กรณี อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะฯลฯ การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์อันเป็นหลักประกันโดยอ้างว่า การขายทอดตลาดดำเนินการไปโดยไม่ชอบ จึงเป็นกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาร้องว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ผู้ร้องจึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดที่ดินในวันที่ 5 มิถุนายน 2539 ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองเป็นผู้ซื้อได้ในราคา 300,000 บาท ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองได้ชำระราคาที่ดินให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วนแล้ว และได้จดทะเบียนรับโอนสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2539 ตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2539 รายงานว่ามีการทำบัญชีแสดงรายการรับและจ่ายเงินในคดีนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งในรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เดือนเดียวกันว่า ส่งเงินจำนวน 200,000 บาท ไปยังศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรียกนายประกันรับเงินที่เหลือคืน เอกสารในสำนวนการยึดทรัพย์ถัดมาปรากฏเป็นสำเนาหมายแจ้งผู้ร้องให้ไปตรวจรับรองบัญชีแสดงรายการรับและจ่ายเงินและรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 83,231 บาท และมีรายงานการส่งหมายของเจ้าหน้าที่ว่า ได้จัดการส่งหมายแจ้งดังกล่าวให้ผู้ร้องแล้วเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 โดยวิธีปิดหมาย นอกจากนี้ยังปรากฏสำเนาหนังสือถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่ลงวันที่ แต่ลงเดือนพฤศจิกายน 2539 ว่าขอส่งบัญชีแสดงรายการรับและจ่ายเงิน จำนวน 1 ฉบับ และเช็คธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 200,000 บาท เป็นเงินค่าปรับนายประกัน และลงชื่อหัวหน้าสำนักงานบังคับคดีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้รับเงินจำนวน 200,000 บาทนั้นแล้วหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถือเป็นเจ้าพนักงานของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ซึ่งถือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา การยึดหลักประกัน การขายทอดตลาด ตลอดจนการรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเป็นการดำเนินการตามคำสั่งของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดและรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจัดทำบัญชีส่วนแบ่งเสร็จสิ้นแล้ว และรายงานศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พร้อมบัญชีส่วนแบ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2539 ว่าส่งเงิน 200,000 บาท ไปยังศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรียกนายประกันรับเงินส่วนที่เหลือคืน ถือได้ว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้วตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ต้องพิจารณาว่าศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วหรือไม่เพราะเป็นกระบวนการภายในของศาลเอง เมื่อผู้ร้องมายื่นคำร้องคดีนี้ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2539 อันเป็นเวลาภายหลังการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีนี้ได้
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของผู้ร้อง.