แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การจำเลยทั้งสิบมิได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างว่าผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง จึงไม่มีประเด็นโต้เถียงว่า ผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนตามคำฟ้องหรือไม่ เพราะถือว่าจำเลยทั้งสิบยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3) ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์แล้วฟังว่า ผู้กู้ไม่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง คดีโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบร่วมกันชำระเงิน 1,263,506.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี และค่าปรับในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสิบ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบเรื่องผิดสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน โดยบรรยายฟ้องมีสาระสำคัญว่า สหกรณ์การเกษตร กรป. กลาง นพค. เชียงใหม่ จำกัด ผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เป็นเงิน 10,000 บาท จำเลยทั้งสิบให้การทำนองเดียวกันว่า ดอกเบี้ยพร้อมค่าปรับตามคำฟ้องของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2547 ถึงวันฟ้อง วันที่ 1 ธันวาคม 2554 ระยะเวลา 7 ปี 5 เดือน เกินเวลากว่า 5 ปี จึงขาดอายุความที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องบังคับเอาจากจำเลยทั้งสิบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 และหนี้เงินกู้มีกำหนดชำระวันที่ 2 กรกฎาคม 2542 เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ โจทก์ต้องฟ้องลูกหนี้ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันครบกำหนด แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 1 ธันวาคม 2554 ซึ่งล่วงเลยเวลา 10 ปี สิทธิเรียกร้องโจทก์จึงขาดอายุความ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น หรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น แต่คำให้การของจำเลยทั้งสิบดังกล่าวมิได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างว่า สหกรณ์การเกษตร กรป. กลาง นพค. เชียงใหม่ จำกัด ผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เป็นเงิน 10,000 บาท อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง คำให้การจำเลยทั้งสิบในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นโต้เถียงว่า สหกรณ์การเกษตร กรป. กลาง นพค. เชียงใหม่ จำกัด ผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เป็นเงิน 10,000 บาทหรือไม่ เพราะต้องถือว่าจำเลยทั้งสิบยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบข้อเท็จจริงนั้นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 (3) การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์แล้วฟังว่า สหกรณ์การเกษตร กรป. กลาง นพค. เชียงใหม่ จำกัด ผู้กู้ไม่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เป็นเงิน 10,000 บาท อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง คดีโจทก์ขาดอายุความและพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่