แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตำแหน่งผู้ว่าการประปานครหลวงซึ่งโจทก์เคยดำรงตำแหน่งอยู่มีสองฐานะคือในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนการประปานครหลวงซึ่งเป็นนิติบุคคล และได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนการประปานครหลวง จึงเป็นนายจ้างของพนักงานจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานและอีกฐานะหนึ่งเป็นผู้ที่การประปานครหลวงจ้างเข้าทำงาน และโจทก์ตกลงทำงานให้แก่การประปานครหลวงเพื่อรับค่าจ้าง จึงเป็นลูกจ้างของจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๑๖ จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งผู้ว่าการประปานครหลวง ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาทค่าครองชีพเดือนละ ๔๐๐ บาท ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุ โดยจ่ายค่าชดเชยให้เพียง ๑๔,๗๙๖.๗๘ บาท ยังขาดอยู่ ๓๑,๔๐๓.๒๒ บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน ๓๑,๔๐๓.๒๒ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการและเป็นผู้บริหารสูงสุดของจำเลยและมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงเป็นนายจ้างหรือตัวแทนของนายจ้างตามกฎหมายมิใช่ลูกจ้างประจำตามกฎหมายแรงงาน จำเลยไม่มีเจตนาเลิกจ้างโจทก์ แต่โจทก์พ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุตามกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยแล้วจำนวน ๔๖,๒๐๐ บาท โดยจ่ายในรูปเงินสงเคราะห์จำนวน ๓๑,๔๐๓.๒๒ บาท และจ่ายเพิ่มเป็นค่าเชยอีกจำนวน ๑๔,๗๙๖.๗๘ บาท ซึ่งตามข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้เป็นค่าชดเชยตามกฎหมายด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากจำเลยอีก และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะหนี้ขาดอายุความ โจทก์ปล่อยให้คดีล่วงเลยมานานถึง ๕-๖ ปี จึงนำคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยการที่โจทก์ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุเป็นการเลิกจ้าง เงินสงเคราะห์ที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ไม่ใช่ค่าชดเชย ข้อบังคับการประปานครหลวงที่ให้ถือว่าเงินกองทุนสงเคราะห์เป็นค่าชดเชย ไม่มีผลบังคับ ค่าชดเชยเป็นหนี้เงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตั้งแต่วันเลิกจ้าง เมื่อนายจ้างไม่จ่ายย่อมถือว่าผิดนัด จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๔ และกฎหมายมิได้ห้ามเรียกดอกเบี้ยเมื่อเกิน ๕ ปีแต่กำหนดให้เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกิน ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน๓๑,๔๐๓.๒๒ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องย้อนหลังไป ๕ ปี และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์จะอยู่ในฐานะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างนั้น ต้องพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับอีกฝ่ายหนึ่งสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับพนักงานของจำเลยนั้น โจทก์เป็นผู้อำนวยการของจำเลยและมีอำนาจกระการแทนจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคล และยังเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนจำเลย ซึ่งต้องตามบทนิยามคำว่านายจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๒ ดังนี้ โจทก์จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของพนักงานจำเลยและอาจมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาเช่นเดียวกับนายจ้าง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยเป็นผู้จ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการของจำเลยและโจทก์ได้ตกลงทำงานให้แก่จำเลยเพื่อรับค่าจ้าง ต้องตามบทนิยามคำว่าลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยและมีสิทธิได้รับค่าชดเชยดังเช่นลูกจ้างอื่นของจำเลย
พิพากษายืน