แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามสัญญาซื้อขายฉบับพิพาทมีข้อตกลงว่า หากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาให้อีกฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกและมีสิทธิเรียกค่าเสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาตาม มาตรา 213 วรรคหนึ่งหรือจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 386 ก็ได้สิทธิดังกล่าวนี้เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมายส่วนการที่โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญากันว่าหากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาให้อีกฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย เป็นเพียงการกล่าวย้ำถึงสิทธิบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 386 เท่านั้นมิได้เป็นการยกเลิกสิทธิของโจทก์ตามมาตรา 213 วรรคหนึ่งในอันที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาดังนี้ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาได้ด้วยตามมาตรา 213 วรรคสี่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,525,027 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,513,644 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,525,027 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,513,644 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ซื้อเครื่องกรองน้ำราคา 1,002,162 บาท และเครื่องบรรจุขวดราคา 812,130 บาทจากโจทก์ โดยตกลงผ่อนชำระราคาเป็น 3 งวด ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 จำเลยที่ 1 ชำระราคาเครื่องกรองน้ำงวดแรกเป็นเงิน 300,648 บาท ให้โจทก์แล้วนอกนั้นไม่ชำระ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหรือไม่จำเลยทั้งสองอ้างว่าตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5มีข้อตกลงว่า หากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาให้อีกฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกและมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่บอกเลิกสัญญาก่อน เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาจึงไม่มีสิทธิฟ้องและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง เห็นว่าเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง การที่จำเลยทั้งสองผิดนัดหรือผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213 วรรคหนึ่ง หรือจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 ก็ได้ สิทธิดังกล่าวนี้เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมาย การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญากันว่าหากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาให้อีกฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นเพียงการกล่าวย้ำถึงสิทธิบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 เท่านั้น มิได้เป็นการยกเลิกสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคหนึ่งในอันที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ยังคงมีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาได้ และเมื่อโจทก์ใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาได้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสี่
พิพากษายืน