คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231-2232/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้นครึ่งเพื่อขายพร้อมที่ดินโดยด้านหลังของตึกแถวหันเข้าหาด้านหลังตึกแถวของโจทก์แต่เว้นช่องว่างด้านหลังอาคารไม่ถึง 2 เมตรตามแบบแปลนจำเลยได้ก่อสร้างกำแพงติดผนังตึกห้องครัวโจทก์ด้านหลังและด้านข้าง และเทพื้นคอนกรีตสูงขึ้น ทำให้ประตูครัวด้านหลัง และประตูด้านข้างตึกแถวโจทก์ปิดเปิดไม่ได้ ทั้งช่องลมห้องครัวด้านหลังถูกปิดด้วยนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำลงในที่ดินส่วนของจำเลยเอง เป็นการใช้สิทธิเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยทรัพย์สินของจำเลยโดยตรง มิใช่เป็นเรื่องจงใจหรือ ประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทั้งรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้นครึ่งด้านหลังตึกแถวของโจทก์โดยหันหลังเข้าหากันห่างกันประมาณ 1.58 เมตรไม่ถึง 2 เมตร ตามที่กฎหมายกำหนด จำเลยถมดินและเทคอนกรีตในที่ดินด้านหลังตึกแถวสูงกว่าระดับเดิมประมาณ 1 เมตร ทำให้ประตูครัวของโจทก์ปิดเปิดไม่ได้ ทั้งจำเลยได้ถมพื้นและเทคอนกรีตด้านข้างตึกแถว ทำให้ประตูด้านข้างตึกแถวปิดเปิดไม่ได้นอกจากนี้จำเลยปลูกสร้างครัวในบริเวณช่องว่างระหว่างตึกแถวที่เว้นไว้ และปลูกชิดติดกำแพงห้องครัวของโจทก์ปิดช่องลมในห้องครัวของโจทก์จนมิดชิดทั้งหมด กำแพงด้านข้างที่จำเลยก่อสร้างก็เชื่อมติดกำแพงตึกแถวด้านทิศตะวันออกติดทางเดินทำให้ตึกแถวของโจทก์เสียรูปทรง และทำให้ประตูด้านข้างถูกปิดตายการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิด ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งรวมทั้งทำให้ข้าวสารโจทก์สำนวนแรกเสียหาย900 บาทด้วย ขอให้บังคับจำเลยรื้อพื้นคอนกรีตออกไปจากบริเวณ 2 เมตรให้จำเลยรื้อครัวและกำแพง ถ้าจำเลยไม่รื้อก็ให้โจทก์มีอำนาจรื้อ โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย กับให้ใช้ค่าเสียหายตามฟ้องให้แก่โจทก์ด้วย

จำเลยให้การทำนองเดียวกันทั้งสองสำนวน และฟ้องแย้งสำนวนหลังว่าจำเลยไม่รับรองอำนาจฟ้อง จำเลยซื้อที่ดินตามฟ้องและปลูกสร้างตึกแถวเพื่อขายตึกแถวของจำเลยห่างตึกแถวโจทก์ประมาณ 2 เมตร ระดับที่ดินที่จำเลยก่อสร้างสูงกว่าระดับพื้นตึกแถวโจทก์ประมาณ 1 เมตร อยู่แล้ว ฯลฯ จำเลยมิได้สร้างครัวตามฟ้อง เพียงแต่สร้างกำแพงเพื่อแสดงเขต การที่ประตูหลังและด้านข้างตึกแถวที่โจทก์สำนวนแรกปิดเปิดไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของจำเลย โจทก์สำนวนแรกไม่ใช่เจ้าของตึกแถว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องสำนวนแรกเคลือบคลุมค่าเสียหายสูงกว่าความจริง ตึกแถวตามฟ้องโจทก์รุกล้ำที่ดินจำเลยทำให้การขายอาคารของจำเลยล่าช้าเป็นเวลา 1 ปี ขาดประโยชน์ 75,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์สำนวนหลังใช้ค่าเสียหาย 75,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย กับให้โจทก์รื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำที่ดินจำเลย หรือให้จำเลยรื้อถอนโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย

โจทก์สำนวนหลังให้การแก้ฟ้องแย้งว่า อาคารของโจทก์มิได้รุกล้ำที่ดินจำเลย ถ้ารุกล้ำก็เกือบ 10 ปีแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจขอให้รื้อถอนและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกโจทก์สำนวนแรกเป็นโจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินตึกแถวไม่มีสิทธิฟ้องตามมาตรา 421, 1337 แต่จำเลยประมาททำให้ข้าวสารโจทก์ที่ 1 เสียหายจริง และคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 900 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 คำขอของโจทก์ที่ 1 นอกนั้นให้ยกให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และยกฟ้องแย้ง

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ 5183 และ 5184 ตามฟ้องเป็นของนายจินดา วัชรโชติ สามีนางผ่องศรี โจทก์ที่ 2 เมื่อนายจินดาตายไปโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกและได้ปลูกสร้างตึกแถวขึ้นในที่ดิน 4 คูหาเลขที่ 72, 74, 76 และ 78 สำหรับตึกแถวเลขที่ 72, 74 มีผู้ซื้อไปแล้ว ตึกแถวเลขที่ 76 มีผู้อื่นเช่า ส่วนตึกแถวเลขที่ 78 ครั้งแรกมารดาโจทก์ที่ 1 เป็นผู้เช่าแล้วโจทก์ที่ 1 เป็นผู้เช่าสืบมา ใน พ.ศ. 2519 โจทก์ที่ 2 ได้ขายที่ดินส่วนที่เหลือจากการปลูกสร้างตึกแถวทั้งหมดให้จำเลย ต่อมาใน พ.ศ. 2520 จำเลยได้ดำเนินการปลูกสร้างตึกแถว 3 ชั้นครึ่งเพื่อขายพร้อมที่ดิน โดยด้านหลังของตึกแถวหันเข้าหาด้านหลังตึกแถวของโจทก์ แต่เว้นช่องว่างด้านหลังอาคารไม่ถึง 2 เมตรตามแบบแปลน จำเลยได้ก่อสร้างกำแพงติดผนังห้องครัวโจทก์ด้านหลัง กำแพงด้านข้างตึกแถวเลขที่ 78 ด้านทิศตะวันออกและเทพื้นคอนกรีตสูงขึ้น ทำให้ประตูครัวด้านหลังและประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์ปิดเปิดไม่ได้ ทั้งช่องลมห้องครัวด้านหลังถูกปิดด้วย

ในปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเทพื้นคอนกรีตและการก่อสร้างกำแพงของจำเลยตามที่โจทก์อ้างนั้น จำเลยกระทำลงในที่ดินส่วนของจำเลยเองเป็นการใช้สิทธิเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยทรัพย์สินของจำเลยโดยตรงมิใช่เรื่องจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทั้งกรณีไม่มีเหตุผลรับฟังว่า จำเลยกระทำโดยไม่สุจริต กลั่นแกล้งใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิด

พิพากษายืน

Share