คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5418/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ที่ดินแปลงพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ หากแต่เป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับ ธ. ซึ่งเป็นสามีซื้อมาในระหว่างสมรสแล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้อง ธ. ไว้แทนจึงเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์กับ ธ. หย่ากันจึงต้องแบ่งที่ดินแปลงพิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ยอมแบ่งก็ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ซึ่งในการแบ่งทรัพย์สินที่ดินแปลงนี้ก็มีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลในชั้นบังคับคดีและศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า เมื่อโจทก์ขอแบ่งสินสมรสโดยระบุจำนวนราคาสินสมรสมาในคำฟ้องและ ธ. ยอมแบ่งสินสมรสตามจำนวนเงินที่ระบุมาในคำฟ้องแก่โจทก์ ถือได้ว่า ธ. ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่อาจที่จะร้องขอให้ขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาได้อีกต่อไป ในคดีนี้โจทก์มาฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสในคดีเดิมให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ดังนี้ แม้โจทก์จะชนะคดีนี้ในชั้นฎีกา โจทก์ก็ไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ที่พิพาทได้ คดีของโจทก์จึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาต่อไป แต่การจะจำหน่ายคดีไปโดยให้คงคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทคืนโจทก์กึ่งหนึ่งไว้ก็เป็นการไม่ชอบเพราะเท่ากับให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่ที่พิพาทได้อีก จึงเห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยานายธเนศหรือกิมหลี ณรงค์ฤทธิเดโช จำเลยทั้งสองเป็นน้องนายธเนศ โจทก์และนายธเนศนำเงินสินสมรสไปซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 29344 ราคา 700,000 บาท โดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์แทน กับที่ดินโฉนดเลขที่ 52186 และ 52187 ราคาแปลงละ 150,000 บาท โดยใส่ชื่อจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์แทน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2529 โจทก์ฟ้องหย่านายธเนศและขอแบ่งสินสมรสรวมทั้งที่ดินสามแปลงนี้ด้วย แต่จำเลยทั้งสองร่วมกับนายธเนศแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 29344 ออกเป็น 5 แปลง คือโฉนดเลขที่ 29344, 157144, 157145, 157146, 157147 และสร้างตึกแถว 5 ห้อง ลงบนที่ดินพร้อมกับโฆษณาขายหรือโอนให้แก่บุคคลอื่นเพื่อจะฉ้อฉลหรือฉ้อโกงโจทก์ โจทก์แจ้งต่อจำเลยทั้งสองให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29344, 157144, 157145, 157146 และ 157147 คืนแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ 2 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 52186 และ 52187 จังหวัดนนทบุรี คืนแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนแก่โจทก์ ขอให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และหากไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะโอนที่ดินส่วนใดให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทโฉนดเลขที่ 29344 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทโฉนดเลขที่ 52186 และ 52187 โดยใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนซื้อมา เงินที่ซื้อไม่ใช่ของโจทก์กับนายเธนศหรือกิมหลี ณรงค์ฤทธิเดโช และใส่ชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน จำเลยที่ 1 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 29344 ออกเป็น 5 แปลง และก่อสร้างตึกแถวโดยชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายพิชิต นางนฤมล นายบุญลือ และธนาคารเอเซีย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยให้เรียกนายพิชิตว่าจำเลยร่วมที่ 1 เรียกนางนฤมลว่าจำเลยร่วมที่ 2 เรียกนายบรรลือว่าจำเลยร่วมที่ 3 และเรียกธนาคารเอเซีย จำกัด ว่าจำเลยร่วมที่ 4
จำเลยร่วมที่ 1 กับที่ 3 ให้การว่า จำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 ซื้อตึกแถวพร้อมที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 4 ให้การว่า จำเลยร่วมที่ 4 รับจำนองที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้โดยสุจริต โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยร่วมที่ 4 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยร่วมที่ 4 จากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 157144 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมที่ 1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 157145 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมที่ 2 และที่ดินโฉนดเลขที่ 157146 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 29344, 157144, 157145, 157146 และ157147 ให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 52186 และ 52187 คืนโจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องหรับจำเลยที่ 1 จำเลยร่วมที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เฉพาะที่เกี่ยวกับ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 157144, 157145 และ 157146
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 1 ก่อน ซึ่งจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ในคดีที่โจทก์ฟ้องหย่านายธเนศและขอแบ่งสินสมรส ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำพิพากษาในชั้นบังคับคดีแล้วว่า เมื่อนายธเนศได้นำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ แสดงว่านายธเนศยอมแบ่งสินสมรสแก่โจทก์แล้ว ถือว่า นายธเนศปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้อง ไม่จำต้องขายทอดตลาดสินสมรส ซึ่งหากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน ที่พิพาทโฉนดเลขที่ 29344 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสินสมรสดังกล่าวก็ไม่อาจถูกยึดเพื่อขายทอดตลาด และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ ซึ่งศาลต้องจำหน่ายคดี ต่อมาจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ยื่นคำแก้ฎีกาโจทก์ว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายืนในคดีดังกล่าวแล้ว และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลฎีกาว่า นายธเนศได้วางเงินต่อศาลเพื่อชำระให้โจทก์ครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 29344, 157144, 157145, 157146 และ 157147 ในคดีนี้ เป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับสามีคือนายธเนศเคยพิพาทฟ้องหย่าขอแบ่งสินสมรสกันมาก่อน ต่อมาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4852/2538 วินิจฉัยว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ หากแต่เป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับนายธเนศซื้อมาในระหว่างสมรสแล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องนายธเนศไว้แทนจึงเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์กับนายธเนศหย่ากันจึงต้องแบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยในคดีดังกล่าวคือนายธเนศไม่ยอมแบ่งก็ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ในการแบ่งทรัพย์สินที่ดินแปลงนี้ก็มีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลในชั้นบังคับคดีกันอีก ในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า เมื่อโจทก์ขอแบ่งสินสมรสโดยระบุจำนวนราคาสินสมรส มาในคำฟ้องและนายธเนศยอมแบ่งสินสมรสตามจำนวนเงินที่ระบุมาในคำฟ้องแก่โจทก์ ถือได้ว่านายธเนศได้ปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่อาจที่จะร้องขอให้ขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาได้อีกต่อไป ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3682/2542 ในคดีนี้โจทก์มาฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทคือที่ดินโฉนดเลขที่ 29344, 157144, 157145, 157146 และ 157147 ซึ่งเป็นสินสมรสในคดีเดิมให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ดังนี้ แม้โจทก์จะชนะคดีนี้ในชั้นฎีกาโจทก์ก็ไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ที่พิพาทโฉนดเลขที่ 29344, 157144, 157145, 157146 และ 157147 ได้ คดีของโจทก์จึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาต่อไป แต่หากจะจำหน่ายคดีไปโดยให้คงคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทคืนโจทก์กึ่งหนึ่งไว้ก็เป็นการไม่ชอบ เพราะเท่ากับให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่ที่พิพาทได้อีก จึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ข้ออื่นจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 ให้จำหน่ายคดีนี้ออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา .

Share