คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6340/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระบุไว้ชัดเจนว่าผู้โอนได้รับเงินมัดจำจากผู้รับโอนไปถูกต้องแล้ว แม้ผู้รับโอนจะทำสัญญากู้เงินจากผู้โอนไว้ เป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนเงินมัดจำ ก็เท่ากับผู้โอนมอบเงินมัดจำนั้นให้เป็นเงินกู้แก่ผู้รับโอน เงินมัดจำดังกล่าวจึงเป็นเงินได้พึงประเมินตาม ป.รัษฎากร มาตรา 39

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยและการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวโดยปลดภาษี 104,731,200 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกคำขออื่น
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2537 โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2103 ถึง 2105 ตำบลหมอนทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ประมาณ 360 ไร่ แก่นายประกอบ ในราคา 180,000,000 บาท และเข้าเป็นหุ้นส่วนจัดทำโครงการสวนเกษตรแปลงย่อยขายแก่ประชาชนทั่วไปเพื่อแบ่งปันกำไรกัน โดยนายประกอบทำสัญญากู้ยืมเงิน 72,000,000 บาท จากโจทก์ทั้งสองในวันเดียวกันมาวางมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน แต่โจทก์ทั้งสองมิได้นำเงินค่ามัดจำ 72,000,000 บาท มาคิดเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2537 จำเลยจึงออกหมายเรียกโจทก์ทั้งสองมาไต่สวนและประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 26,182,800 บาท เบี้ยปรับ 52,365,600 บาท และเงินเพิ่มถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2543 อีก 26,182,800 บาท โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่า เงินมัดจำเป็นเงินได้พึงประเมินตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 จึงให้ยกอุทธรณ์
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า โจทก์ทั้งสองต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จำเลยประเมินไว้หรือไม่ เห็นว่า ความในประมวลรัษฎากร มาตรา 56 บัญญัติไว้โดยแจ้งชัดว่า ให้บุคคลทุกคนเว้นแต่ผู้เยาว์หรือผู้ที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ภายในเดือนมีนาคมทุกๆ ปี โดยความในวรรคสองที่บังคับแก่คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลดังเช่นกรณีโจทก์ทั้งสองก็บัญญัติภาระหน้าที่ของผู้อำนวยการหรือผู้จัดการให้เป็นผู้รับผิดเสียภาษีในชื่อคณะบุคคลนั้น เมื่อในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ข้อ 2 ระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้โอนได้รับเงินมัดจำจากผู้รับโอนไปถูกต้องแล้ว จึงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้รับเงินมัดจำ 72,000,000 บาท ไว้จากนายประกอบแล้ว แม้นายประกอบจะได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 72,000,000 บาท จากโจทก์ทั้งสองไว้ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองมอบเงินมัดจำที่รับไว้ให้นายประกอบรับเป็นเงินกู้ไปนั่นเอง เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้รับเงินมัดจำจำนวนดังกล่าวไว้แล้ว จึงต้องด้วยเกณฑ์เงินสดที่ใช้เป็นหลักพิจารณาเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามบทนิยามในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 เพราะมิใช่เงินที่โจทก์ทั้งสองยังไม่ได้รับหรือเงินที่ยังค้างชำระกันอยู่อันไม่อาจถือได้ว่าเป็นเงินได้พึงประเมินแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับเป็นค่ามัดจำในระหว่างปีภาษี 2537 ภายในเดือนมีนาคม 2538 เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2537 และชำระภาษี เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 23, 24, 26 และ 27 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว คำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท.

Share