คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3794/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง การค้าระหว่างประเทศ รับขนของทางอากาศ ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ส่งสินค้าซึ่งทำด้วยทอง 18 เค ประดับด้วยเพชรพลอยจำนวน 1 หีบห่อ ซึ่งบรรจุสินค้าจำนวน 817 ชิ้น ไปให้บริษัทมัสท์เมก เทรดดิ้ง จำกัด ลูกค้าที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ทางเครื่องบินของจำเลยที่ 2 เมื่อเครื่องบินขนสินค้ามาถึงเมืองกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 30 สิงหาคม 2540 ปรากฏว่าสินค้าได้สูญหายไปทั้งหีบห่อ โจทก์เคยมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ขอชดใช้ให้เป็นเงินจำนวน 15,000 บาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ประเด็นแรกว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางอากาศตามคำฟ้องไว้จากบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วหรือไม่ ในประเด็นนี้นางสาวมาลีตันฑ์วณิช ผู้จัดการฝ่ายรับประกันวินาศภัยของโจทก์เบิกความว่า โจทก์รับประกันภัยความเสียหายหรือสูญหายของสินค้าทอง 18 เค ประดับด้วยเพชรพลอยจำนวน 1 หีบห่อ ซึ่งบรรจุสินค้าจำนวน 817 ชิ้น จากบริษัท เอ็น.เอส.จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ซึ่งจะขนสินค้าจากกรุงเทพมหานครไปเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยทางเครื่องบิน โดยรับประกันภัยไว้เป็นเงินจำนวน 11,510.50 ดอลลาร์สหรัฐ ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ขายได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1ขนส่งสินค้าที่เอาประกันภัยจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์โดยทางเครื่องบินเพื่อส่งมอบให้บริษัทมัสท์เมก เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว จำเลยที่ 1 ตกลงรับขนส่งสินค้าดังกล่าว ซึ่งเมื่อจำเลยที่ 1ได้รับสินค้าไว้เรียบร้อยครบจำนวนแล้วได้ออกใบตราส่งทางอากาศให้แก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ส่งตามเอกสารหมาย จ.6 จากนั้นจำเลยที่ 1ได้จ้างจำเลยที่ 2 อีกทอดหนึ่งให้ขนส่งสินค้าดังกล่าวจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ เครื่องบินลำที่ขนส่งสินค้าดังกล่าวไปถึงเมืองกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2540 แต่ปรากฏว่าสินค้าดังกล่าวสูญหายไปทั้งหีบห่อในระหว่างการขนส่งของจำเลยที่ 2 เมื่อสินค้าสูญหายบริษัทผู้เอาประกันภัยได้เรียกร้องค่าเสียหายไปยังจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่ชดใช้ให้ บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ผู้เอาประกันภัยจึงเรียกร้องมายังโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย โจทก์พิจารณาเห็นว่าสินค้าที่เอาประกันภัยสูญหายไปทั้งหมดจริง จึงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้บริษัทดังกล่าวไปจำนวน 11,510.50 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยเท่ากับ307,294 บาท เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2541 แล้วบริษัทผู้เอาประกันภัยดังกล่าวได้ออกใบรับช่วงสิทธิให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.9เห็นว่า นางสาวมาลีเบิกความยืนยันว่าโจทก์ได้รับประกันภัยจากบริษัทเอ็น.เอส.จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด พร้อมทั้งมีกรมธรรม์ประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.4 มาแสดง นอกจากนั้นเมื่อสินค้าได้สูญหายและโจทก์ได้ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว บริษัท เอ็น.เอส.จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ผู้เอาประกันภัยก็ได้ทำใบรับช่วงสิทธิในความสูญเสียลงวันที่ 15 มกราคม 2541 ตามเอกสารหมาย จ.9 ให้โจทก์ ซึ่งถ้าหากมิได้มีการประกันภัยสินค้าทอง 18 เค ประดับด้วยเพชรพลอยจำนวน 817 ชิ้นที่ขนส่งทางอากาศตามคำฟ้องกันไว้และมิได้มีการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กันจริง โจทก์ก็คงจะไม่ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่แฟคตอรี่ จำกัด และบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ก็คงจะไม่ออกใบรับช่วงสิทธิในความสูญเสียให้โจทก์ ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่พอให้เชื่อว่าโจทก์ออกกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 ให้บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด โดยไม่ได้มีการประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แล้วโจทก์สมคบกันกับบริษัทดังกล่าวโดยทุจริตยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทนั้นไปเพียงเพื่อจะได้เข้ารับช่วงสิทธิของบริษัทนั้นมาฟ้องเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งแต่อย่างใด เชื่อว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางอากาศตามคำฟ้องและได้จ่ายสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วจริงส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างในอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยก่อนขนส่งสินค้าดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้นั้น เห็นว่า นางสาวมาลีเบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า เหตุที่วันที่ออกกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 เป็นวันหลังจากวันที่ออกใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.6 เพราะโจทก์ตกลงกับบริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัด ซึ่งเป็นนายหน้ารับประกันภัยของโจทก์ว่า ให้ออกเอกสารแสดงการรับประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัยไปก่อนและรวบรวมส่งให้โจทก์เป็นรายเดือน แล้วโจทก์ก็จะนำไปออกกรมธรรม์ประกันภัยฉบับสมบูรณ์คือเอกสารหมาย จ.4 ในเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 แผ่นแรก ก็ระบุถึงวันที่บริษัทนายหน้าออกเอกสารไว้ว่า วันที่ 29 สิงหาคม 2540 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่ทำการขนส่งดังที่ระบุไว้ในใบตราส่งเอกสารหมาย จ.6จากพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวเชื่อว่าบริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัดรับประกันภัยสินค้าตามคำฟ้องไว้แทนโจทก์ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2540ก่อนที่จะเกิดความเสียหายแก่สินค้าที่เอาประกันภัย ดังนี้ โจทก์ซึ่งเป็นตัวการย่อมมีความผูกพันต่อผู้เอาประกันภัยในฐานะผู้รับประกันภัยสินค้านั้นที่จะต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยสินค้าตามคำฟ้องที่ต้องสูญหายไปในระหว่างการขนส่งทางอากาศของจำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งโจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ 2ผู้ขนส่งซึ่งต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ส่งสินค้านั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ และที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า เอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 เป็นเพียงสำเนาเอกสาร รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามกฎหมายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา93 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้คัดค้านไว้แล้วนั้น เห็นว่า นางสาวมาลีเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า กรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4มีเอกสารแนบท้ายซึ่งเป็นของบริษัทนายหน้ารับประกันภัยของโจทก์ เอกสารที่แนบท้ายเอกสารดังกล่าวมีเพียงฉบับเดียว ดังปรากฏตามที่แนบท้ายเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งบริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัด ได้ทำขึ้น กรมธรรม์ประกันภัยทำเป็นคู่ฉบับ ซึ่งเป็นต้นฉบับ 2 ฉบับ และทำสำเนาหลายฉบับ ส่งไปให้ผู้เอาประกันภัย 1 ฉบับ และตัวแทนรับประกันภัยของโจทก์ 1 ฉบับ ด้วยอันแสดงว่าเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 บริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัด ได้ทำขึ้นเพียงฉบับเดียว ดังนั้น ต้นฉบับจึงต้องอยู่กับผู้เอาประกันภัย คือบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัดเพราะโจทก์ต้องส่งต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยพร้อมเอกสารแนบท้ายไปให้ผู้เอาประกันภัยด้วย โจทก์จึงเหลือเพียงต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยตามเอกสารหมาย จ.4 อีก 1 ฉบับ และสำเนาเอกสารที่แนบท้ายเอกสารหมาย จ.4 ที่โจทก์ทำไว้เท่านั้น เหตุที่ต้นฉบับเอกสารที่แนบท้ายเอกสารหมาย จ.4 มิได้อยู่ที่โจทก์ดังกล่าวเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาตให้โจทก์นำสำเนาเอกสารดังกล่าวมาสืบ และรับฟังสำเนาเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐาน จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (2)
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า สินค้าที่ขนส่งมีราคาเท่าใด และจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดหรือไม่เพียงใดนั้น เห็นว่า ตามใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.6 ในช่องลักษณะและจำนวนของสินค้า (รวมทั้งขนาดวัดและความจุ) แจ้งรายละเอียดว่าเป็นทอง 18 เค ประดับด้วยเพชรพลอย สินค้ามีขนาดวัด 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ต้นกำเนิดประเทศไทย ใบกำกับสินค้าเลขที่ เอ็ม เอ 004/97 และเมื่อพิจารณาประกอบกับใบกำกับสินค้าเลขที่ เอ็มเอ 004/97 ตามเอกสารหมาย จ.5แล้วปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวระบุรายละเอียดว่า รวมราคาสินค้าส่งถึงบนเครื่องบิน กรุงเทพฯ จำนวน 817 ชิ้น น้ำหนัก 1,931 กรัม จำนวน1,510.50 ดอลลาร์สหรัฐ จึงเชื่อว่าราคาสินค้าที่ขนส่งเป็นเงินจำนวน11,510.50 ดอลลาร์สหรัฐ จริง ตามใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมายจ.6 ที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าสินค้ามีราคาเพียง15,000 บาท ตามราคาที่จำเลยที่ 2 เสนอชดใช้ให้โจทก์นั้น ปรากฏว่าสินค้าที่สูญหายไปเป็นทอง 18 เค ประดับด้วยเพชรพลอยซึ่งเป็นของมีค่าและมีจำนวน817 ชิ้น มีน้ำหนักถึง 1,931 กรัม ซึ่งย่อมจะต้องมีราคาสูง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 จึงรับฟังไม่ได้เพราะขัดต่อเหตุผล เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งได้ทำให้สินค้าอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายไป จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อผู้ส่งซึ่งเอาประกันภัยสินค้านั้นไว้แก่โจทก์ตามราคาสินค้าที่ขนส่งที่แท้จริง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 307,294 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 มกราคม 2541 อันเป็นวันที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์นั้นปรากฏตามคำฟ้องว่าโจทก์เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน307,294 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปคือวันที่ 15 มกราคม 2541 จนถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2541 อันเป็นวันฟ้องเป็นเวลา 7 เดือนเศษ แต่โจทก์ขอคิดเพียง 7 เดือน ไม่ขอคิดดอกเบี้ยในเศษ 13 วัน ด้วย เป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน 13,444.11 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 320,738.11 บาท และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 320,738.11 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 307,294 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 307,294 บาท เป็นเวลา 13 วัน ซึ่งโจทก์มิได้ขอให้จำเลยที่ 2 ชำระรวมเข้าไปด้วย อันเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ในปัญหานี้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 320,738.11บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 307,294 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 5,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดต่อมาจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โจทก์ประกอบธุรกิจรับประกันวินาศภัย จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๒เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยทั้งสองประกอบกิจการรับขนส่งสินค้าทางอากาศเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติ เกี่ยวกับคดีนี้โจทก์รับประกันภัยสินค้าทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอย จำนวน ๑ หีบห่อ ซึ่งบรรจุสินค้าจำนวน ๘๑๗ ชิ้น จากบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ที่จะถูกขนส่งโดยทางเครื่องบินจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียไว้เป็นเงินจำนวน ๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสาระสำคัญว่า หากสินค้าที่ขนส่งดังกล่าวเสียหายหรือสูญหาย โจทก์จะชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เอาประกันภัยในวงเงินที่โจทก์รับประกันภัยไว้ สินค้าดังกล่าวผู้เอาประกันภัยขายให้แก่บริษัทมัสท์ เมก เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ในราคา ๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ ผู้ขายซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ให้ขนส่งสินค้าดังกล่าวทางเครื่องบินจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ เพื่อส่งมอบให้ผู้ซื้อ ซึ่งเมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับสินค้าครบถ้วนในสภาพเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ออกใบตราส่งให้ผู้ขายซึ่งเป็นผู้ส่งไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ว่าจ้างจำเลยที่ ๒อีกทอดหนึ่งให้ขนส่งสินค้านั้นจากกรุงเทพมหานครไปเมืองกัวลาลัมเปอร์ โดยจำเลยที่ ๒ ได้รับสินค้าจากจำเลยที่ ๑ ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว เครื่องบินที่ขนส่งสินค้าดังกล่าวเดินทางไปถึงเมืองกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม๒๕๔๐ ปรากฏว่าสินค้าที่ขนส่งสูญหายไปทั้งหมดในระหว่างการขนส่งของจำเลยที่ ๒ ต่อมาผู้ขายเรียกร้องค่าเสียหายไปยังจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมชดใช้ ผู้ขายซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวจึงเรียกร้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชำระ โจทก์เห็นว่าความสูญหายของสินค้าที่เอาประกันภัยเป็นวินาศภัยที่โจทก์ต้องรับผิดชอบ จึงชำระค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยไปเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ จำนวน ๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ๓๐๗,๒๙๔ บาท และรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองผู้ขนส่งพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปคือวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๗ เดือนเศษแต่โจทก์ขอคิดเพียง ๗ เดือน เป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน ๑๓,๔๔๔.๑๑ บาทรวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวนทั้งสิ้น ๓๒๐,๗๓๘.๑๑ บาทโจทก์มอบหมายให้ทนายความทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน๓๒๐,๗๓๘.๑๑ บาท และร่วมกันชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัดขณะยื่นคำฟ้อง กรรมการผู้ลงชื่อไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทโจทก์ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประกอบธุรกิจหรือมีนิติสัมพันธ์ร่วมกับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้ร่วมกันรับขนสินค้าตามคำฟ้องช่วงใดช่วงหนึ่งจากเมืองต้นทางของผู้ส่งถึงเมืองปลายทางของผู้รับตราส่ง จำเลยที่ ๑ เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ขนส่งดังกล่าวในฐานะเป็นผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศหรือเฟรต ฟอร์เวิร์ดเดอร์ (Freight Forwarder) ซึ่งทำหน้าที่รับติดต่อจัดหา และจองระวางสินค้ากับผู้รับขนของทางอากาศ จัดทำและออกเอกสารประสานงาน อำนวยความสะดวก และดำเนินพิธีการทางศุลกากรเกี่ยวกับสินค้าที่ขนส่ง จำเลยที่ ๑ ทำหน้าที่เพียงติดต่อ จัดหา และจองระวางสินค้ากับจำเลยที่ ๒ ผู้รับขนของหรือผู้ขนส่งทางอากาศ จัดทำและออกใบตราส่งภายใต้อำนาจของจำเลยที่ ๒ เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำใบตราส่งพร้อมสินค้าที่ขนส่งไปส่งมอบแก่จำเลยที่ ๒ และการดำเนินพิธีการทางศุลกากรแต่อย่างใด การดำเนินการดังกล่าวผู้ขายเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งสิ้น จำเลยที่ ๑ เรียกเก็บค่าระวางพาหนะจากผู้ส่งก็เพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๑ ได้รับเพียงค่าบำเหน็จบริการจากผู้ส่งเท่านั้นจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ ๑ ไม่เคยได้รับการทวงถามให้ชดใช้ค่าเสียหายจากโจทก์ไม่ว่าด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือจำเลยไม่ทราบและไม่รับรองว่าโจทก์เสียหายจริงหรือไม่ หากเสียหายจริงและหากศาลฟังว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขนส่งสินค้าดังกล่าวทางอากาศข้อจำกัดความรับผิดก็เป็นไปตามอนุสัญญาวอร์ซอร์ซึ่งจำกัดไว้ไม่เกิน ๒๐ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ ๑ กิโลกรัม ตามที่ระบุไว้ด้านหลังใบตราส่ง สินค้าที่ขนส่งหนัก ๓.๕ กิโลกรัม จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดไม่เกินจำนวน ๗๑.๖๐ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่เกินจำนวน ๒,๘๖๔ บาท (๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ๔๐ บาท) ซึ่งหากบริษัทผู้ขายประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองรับผิดเกินข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าว ผู้ขายต้องจ่ายค่าระวางเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของผู้ขนส่งซึ่งถือว่าเป็นการสำแดงพิเศษของมูลค่าสินค้า แต่ผู้ขายก็มิได้จ่ายค่าระวางสินค้าที่ขนส่งเพิ่มขึ้น อนึ่ง คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์ทราบดีว่าสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ มีเพียงใดและสิ้นสุดเมื่อใดซึ่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ เสร็จสิ้นเมื่อจำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อ จัดหา และจองระวางได้แล้ว แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ หลงข้อต่อสู้และไม่สามารถยื่นคำให้การได้มากไปกว่านี้ซึ่งอาจทำให้จำเลยที่ ๒ เสียหายไปตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าตามคำฟ้องและยังมิได้ชดใช้ค่าเสียหาย จึงไม่มีสิทธิรับช่วงสิทธิมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นผู้ขนส่งสินค้าดังกล่าว สินค้าที่ขนส่งเป็นของมีค่า ซึ่งตามกฎหมายจะต้องบอกราคาสินค้าขณะส่งมอบแก่ผู้ขนส่ง แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งราคาสินค้าขณะส่งมอบ แม้หากจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับขนส่งจริง จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิดในการสูญหายของสินค้านั้นนอกจากนี้สินค้าที่สูญหายไม่ได้มีราคา ๓๐๗,๒๙๔ บาท และโจทก์ก็ไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เอาประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๙,๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัดประกอบกิจการประกันวินาศภัยทุกประเภทมีนายพงษ์ศักดิ์ วิสุทธิผล และนางนงลักษณ์ วิสุทธิผล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนโจทก์ได้ตามหนังสือรับรองนิติบุคคลเอกสารหมาย จ.๑ จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัดตามหนังสือรับรองนิติบุคคลเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ ตามลำดับ โจทก์รับประกันภัยสินค้าทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอย จำนวน ๑ หีบห่อ ซึ่งบรรจุสินค้าจำนวน ๘๑๗ ชิ้น ไว้จากบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัดซึ่งจะถูกขนส่งโดยทางเครื่องบินจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย เป็นเงินประกันภัยจำนวน ๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐโดยมีสาระสำคัญว่า หากสินค้าดังกล่าวสูญหายหรือเสียหาย โจทก์จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยตามจำนวนเงินที่รับประกันภัยไว้ ตามกรมธรรม์ประกันภัยพร้อมคำแปลและสำเนาใบกำกับสินค้าพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ สินค้าดังกล่าวผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ขายได้ขายให้แก่บริษัทมัสท์เมก เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ผู้เอาประกันภัยได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ขนส่งสินค้านั้นจากกรุงเทพมหานครไปเมืองกัวลาลัมเปอร์โดยทางเครื่องบินเพื่อส่งมอบให้ผู้ซื้อจำเลยที่ ๑ ตกลงรับขน เมื่อได้รับสินค้าไว้ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ ๑ได้ออกใบตราส่งทางอากาศ (Air Waybill) ให้แก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ส่ง ตามใบตราส่งทางอากาศพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.๖ จากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๒ อีกทอดหนึ่ง ให้ขนส่งสินค้านั้นไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ เครื่องบินที่ขนสินค้าไปถึงเมืองกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ ๓๐สิงหาคม ๒๕๔๐ ปรากฏว่าสินค้าที่ขนส่งสูญหายไปทั้งหีบห่อในระหว่างการขนส่งของจำเลยที่ ๒ ผู้เอาประกันภัยจึงเรียกร้องค่าเสียหายไปยังจำเลยทั้งสอง ตามสำเนาหนังสือเรียกร้องค่าเสียหายพร้อมคำแปลเอกสารหมายจ.๗ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชดใช้โดยมีหนังสือแจ้งตอบมาว่าได้รับขนส่งสินค้าจริง กำลังตรวจสอบไปทางเมืองกัวลาลัมเปอร์ว่าสินค้าอยู่ที่ใด ตามสำเนาหนังสือพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.๘ ผู้เอาประกันภัยจึงเรียกร้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์พิจารณาเห็นว่าสินค้าสูญหายไปทั้งหมดจริง จึงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยจำนวน๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยในอัตราแลกเปลี่ยน๒๖.๗๐ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาท แล้วเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ ผู้เอาประกันภัยออกใบรับช่วงสิทธิให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน ตามใบรับช่วงสิทธิพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.๙ โจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยเป็นต้นเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่จ่ายไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๗ เดือน เป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน ๑๓,๔๔๔.๑๑ บาทก่อนฟ้องคดีโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือเรียกร้องไปยังจำเลยที่ ๒ตามสำเนาหนังสือทวงถามพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.๑๐ แต่จำเลยที่ ๒มีหนังสือแจ้งตอบมา ๒ ฉบับ โดยฉบับหลังแจ้งว่าจะชดใช้ให้จำนวน ๑๕,๐๐๐บาท ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.๑๑ และ จ.๑๒
จำเลยที่ ๒ นำสืบว่า จำเลยที่ ๒ ประกอบกิจการรับขนส่งผู้โดยสารและสินค้า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนขายพื้นที่ระวางสินค้าของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ มอบใบตราส่งทางอากาศของจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ ไว้ เกี่ยวกับคดีนี้ บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัดจะส่งเครื่องประดับทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอยไปให้ผู้ซื้อที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ จึงว่าจ้างบริษัทเจเวล เอ็กซเพรส จำกัด ให้ส่งสินค้าดังกล่าว แต่เนื่องจากบริษัทเจเวล เอ็กซเพรส จำกัด ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และไม่มีใบตราส่งทางอากาศ บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่แฟคตอรี่ จำกัด จึงไปติดต่อให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการโดยแจ้งรายละเอียดของสินค้าว่าเป็นสินค้าใดให้จำเลยที่ ๑ ลงไว้ในใบตราส่ง เว้นแต่น้ำหนักสินค้าและค่าธรรมเนียมซึ่งต้องชั่งน้ำหนักที่ที่ทำการของจำเลยที่ ๒ ก่อนจึงจะระบุลงไว้ ตามใบตราส่งทางอากาศพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.๖ในใบตราส่งนี้ไม่ได้บอกราคาสินค้าไว้ สินค้าที่ขนส่งไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งปกติจะไม่แนบใบกำกับสินค้าไปกับใบตราส่ง สินค้าดังกล่าวได้ถูกขนส่งไปถึงปลายทางที่เมืองกัวลาลัมเปอร์แล้ว แต่สินค้านั้นสูญหายไปเมื่อผู้รับตราส่งมาขอรับสินค้า ซึ่งความรับผิดของจำเลยที่ ๒ สิ้นสุดเมื่อสินค้าไปถึงปลายทางแล้ว ต่อจากนั้นเป็นความรับผิดชอบของทางมาเลเซียที่ต้องดูแลสินค้าเพื่อส่งมอบให้ผู้รับตราส่ง โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญารับขนของแต่อย่างใด นอกจากนี้โจทก์ไม่ได้รับประกันภัยสินค้าที่ขนส่งก่อนมีการส่งสินค้า เพราะกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ ทำขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๐ แต่สินค้าสูญหายไปเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม๒๕๔๐ ซึ่งเป็นเวลาก่อนหน้าทำสัญญาประกันภัย การรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ส่งสินค้าซึ่งทำด้วยทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอยจำนวน ๑ หีบห่อ ซึ่งบรรจุสินค้าจำนวน ๘๑๗ ชิ้น ไปให้บริษัทมัสท์เมก เทรดดิ้ง จำกัด ลูกค้าที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ทางเครื่องบินของจำเลยที่ ๒ เมื่อเครื่องบินขนสินค้ามาถึงเมืองกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๐ ปรากฏว่าสินค้าได้สูญหายไปทั้งหีบห่อ โจทก์เคยมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ขอชดใช้ให้เป็นเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ประเด็นแรกว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางอากาศตามคำฟ้องไว้จากบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วหรือไม่ ในประเด็นนี้นางสาวมาลีตันฑ์วณิช ผู้จัดการฝ่ายรับประกันวินาศภัยของโจทก์เบิกความว่า โจทก์รับประกันภัยความเสียหายหรือสูญหายของสินค้าทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอยจำนวน ๑ หีบห่อ ซึ่งบรรจุสินค้าจำนวน ๘๑๗ ชิ้น จากบริษัท เอ็น.เอส.จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ซึ่งจะขนสินค้าจากกรุงเทพมหานครไปเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยทางเครื่องบิน โดยรับประกันภัยไว้เป็นเงินจำนวน ๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ขายได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ ๑ขนส่งสินค้าที่เอาประกันภัยจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์โดยทางเครื่องบินเพื่อส่งมอบให้บริษัทมัสท์เมก เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ตกลงรับขนส่งสินค้าดังกล่าว ซึ่งเมื่อจำเลยที่ ๑ได้รับสินค้าไว้เรียบร้อยครบจำนวนแล้วได้ออกใบตราส่งทางอากาศให้แก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ส่งตามเอกสารหมาย จ.๖ จากนั้นจำเลยที่ ๑ได้จ้างจำเลยที่ ๒ อีกทอดหนึ่งให้ขนส่งสินค้าดังกล่าวจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์ เครื่องบินลำที่ขนส่งสินค้าดังกล่าวไปถึงเมืองกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๐ แต่ปรากฏว่าสินค้าดังกล่าวสูญหายไปทั้งหีบห่อในระหว่างการขนส่งของจำเลยที่ ๒ เมื่อสินค้าสูญหายบริษัทผู้เอาประกันภัยได้เรียกร้องค่าเสียหายไปยังจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่ชดใช้ให้ บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ผู้เอาประกันภัยจึงเรียกร้องมายังโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย โจทก์พิจารณาเห็นว่าสินค้าที่เอาประกันภัยสูญหายไปทั้งหมดจริง จึงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้บริษัทดังกล่าวไปจำนวน ๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยเท่ากับ๓๐๗,๒๙๔ บาท เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ แล้วบริษัทผู้เอาประกันภัยดังกล่าวได้ออกใบรับช่วงสิทธิให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.๙เห็นว่า นางสาวมาลีเบิกความยืนยันว่าโจทก์ได้รับประกันภัยจากบริษัทเอ็น.เอส.จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด พร้อมทั้งมีกรมธรรม์ประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.๔ มาแสดง นอกจากนั้นเมื่อสินค้าได้สูญหายและโจทก์ได้ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว บริษัท เอ็น.เอส.จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ผู้เอาประกันภัยก็ได้ทำใบรับช่วงสิทธิในความสูญเสียลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ ตามเอกสารหมาย จ.๙ ให้โจทก์ ซึ่งถ้าหากมิได้มีการประกันภัยสินค้าทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอยจำนวน ๘๑๗ ชิ้นที่ขนส่งทางอากาศตามคำฟ้องกันไว้และมิได้มีการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กันจริง โจทก์ก็คงจะไม่ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่แฟคตอรี่ จำกัด และบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด ก็คงจะไม่ออกใบรับช่วงสิทธิในความสูญเสียให้โจทก์ ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่พอให้เชื่อว่าโจทก์ออกกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ ให้บริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัด โดยไม่ได้มีการประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แล้วโจทก์สมคบกันกับบริษัทดังกล่าวโดยทุจริตยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทนั้นไปเพียงเพื่อจะได้เข้ารับช่วงสิทธิของบริษัทนั้นมาฟ้องเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ ๒ ผู้ขนส่งแต่อย่างใด เชื่อว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางอากาศตามคำฟ้องและได้จ่ายสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วจริงส่วนที่จำเลยที่ ๒ อ้างในอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยก่อนขนส่งสินค้าดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นคดีนี้นั้น เห็นว่า นางสาวมาลีเบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า เหตุที่วันที่ออกกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ เป็นวันหลังจากวันที่ออกใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.๖ เพราะโจทก์ตกลงกับบริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัด ซึ่งเป็นนายหน้ารับประกันภัยของโจทก์ว่า ให้ออกเอกสารแสดงการรับประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัยไปก่อนและรวบรวมส่งให้โจทก์เป็นรายเดือน แล้วโจทก์ก็จะนำไปออกกรมธรรม์ประกันภัยฉบับสมบูรณ์คือเอกสารหมาย จ.๔ ในเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ แผ่นแรก ก็ระบุถึงวันที่บริษัทนายหน้าออกเอกสารไว้ว่า วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่ทำการขนส่งดังที่ระบุไว้ในใบตราส่งเอกสารหมาย จ.๖จากพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวเชื่อว่าบริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัดรับประกันภัยสินค้าตามคำฟ้องไว้แทนโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๐ก่อนที่จะเกิดความเสียหายแก่สินค้าที่เอาประกันภัย ดังนี้ โจทก์ซึ่งเป็นตัวการย่อมมีความผูกพันต่อผู้เอาประกันภัยในฐานะผู้รับประกันภัยสินค้านั้นที่จะต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยสินค้าตามคำฟ้องที่ต้องสูญหายไปในระหว่างการขนส่งทางอากาศของจำเลยที่ ๒ ผู้ขนส่งโจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ ๒ผู้ขนส่งซึ่งต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ส่งสินค้านั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ได้ และที่จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า เอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ เป็นเพียงสำเนาเอกสาร รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามกฎหมายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๙๓ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้คัดค้านไว้แล้วนั้น เห็นว่า นางสาวมาลีเบิกความตอบทนายจำเลยที่ ๒ ถามค้านว่า กรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔มีเอกสารแนบท้ายซึ่งเป็นของบริษัทนายหน้ารับประกันภัยของโจทก์ เอกสารที่แนบท้ายเอกสารดังกล่าวมีเพียงฉบับเดียว ดังปรากฏตามที่แนบท้ายเอกสารหมาย จ.๔ ซึ่งบริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัด ได้ทำขึ้น กรมธรรม์ประกันภัยทำเป็นคู่ฉบับ ซึ่งเป็นต้นฉบับ ๒ ฉบับ และทำสำเนาหลายฉบับ ส่งไปให้ผู้เอาประกันภัย ๑ ฉบับ และตัวแทนรับประกันภัยของโจทก์ ๑ ฉบับ ด้วยอันแสดงว่าเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.๔ บริษัทแองโกล อีสต์ ชัวตี้ จำกัด ได้ทำขึ้นเพียงฉบับเดียว ดังนั้น ต้นฉบับจึงต้องอยู่กับผู้เอาประกันภัย คือบริษัท เอ็น.เอส. จิวเวลรี่ แฟคตอรี่ จำกัดเพราะโจทก์ต้องส่งต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยพร้อมเอกสารแนบท้ายไปให้ผู้เอาประกันภัยด้วย โจทก์จึงเหลือเพียงต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยตามเอกสารหมาย จ.๔ อีก ๑ ฉบับ และสำเนาเอกสารที่แนบท้ายเอกสารหมาย จ.๔ ที่โจทก์ทำไว้เท่านั้น เหตุที่ต้นฉบับเอกสารที่แนบท้ายเอกสารหมาย จ.๔ มิได้อยู่ที่โจทก์ดังกล่าวเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาตให้โจทก์นำสำเนาเอกสารดังกล่าวมาสืบ และรับฟังสำเนาเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐาน จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓ (๒)
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า สินค้าที่ขนส่งมีราคาเท่าใด และจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดหรือไม่เพียงใดนั้น เห็นว่า ตามใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.๖ ในช่องลักษณะและจำนวนของสินค้า (รวมทั้งขนาดวัดและความจุ) แจ้งรายละเอียดว่าเป็นทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอย สินค้ามีขนาดวัด ๓๐ x ๓๐ x ๓๐ เซนติเมตร ต้นกำเนิดประเทศไทย ใบกำกับสินค้าเลขที่ เอ็ม เอ ๐๐๔/๙๗ และเมื่อพิจารณาประกอบกับใบกำกับสินค้าเลขที่ เอ็มเอ ๐๐๔/๙๗ ตามเอกสารหมาย จ.๕แล้วปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวระบุรายละเอียดว่า รวมราคาสินค้าส่งถึงบนเครื่องบิน กรุงเทพฯ จำนวน ๘๑๗ ชิ้น น้ำหนัก ๑,๙๓๑ กรัม จำนวน๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ จึงเชื่อว่าราคาสินค้าที่ขนส่งเป็นเงินจำนวน๑๑,๕๑๐.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ จริง ตามใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมายจ.๖ ที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ ๒ อ้างว่าสินค้ามีราคาเพียง๑๕,๐๐๐ บาท ตามราคาที่จำเลยที่ ๒ เสนอชดใช้ให้โจทก์นั้น ปรากฏว่าสินค้าที่สูญหายไปเป็นทอง ๑๘ เค ประดับด้วยเพชรพลอยซึ่งเป็นของมีค่าและมีจำนวน๘๑๗ ชิ้น มีน้ำหนักถึง ๑,๙๓๑ กรัม ซึ่งย่อมจะต้องมีราคาสูง ข้ออ้างของจำเลยที่ ๒ จึงรับฟังไม่ได้เพราะขัดต่อเหตุผล เมื่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ขนส่งได้ทำให้สินค้าอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายไป จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อผู้ส่งซึ่งเอาประกันภัยสินค้านั้นไว้แก่โจทก์ตามราคาสินค้าที่ขนส่งที่แท้จริง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ อันเป็นวันที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์นั้นปรากฏตามคำฟ้องว่าโจทก์เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน๓๐๗,๒๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปคือวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑ จนถึงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ อันเป็นวันฟ้องเป็นเวลา ๗ เดือนเศษ แต่โจทก์ขอคิดเพียง ๗ เดือน ไม่ขอคิดดอกเบี้ยในเศษ ๑๓ วัน ด้วย เป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน ๑๓,๔๔๔.๑๑ บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน ๓๒๐,๗๓๘.๑๑ บาท และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๓๒๐,๗๓๘.๑๑ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาท เป็นเวลา ๑๓ วัน ซึ่งโจทก์มิได้ขอให้จำเลยที่ ๒ ชำระรวมเข้าไปด้วย อันเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ในปัญหานี้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๓๒๐,๗๓๘.๑๑บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินจำนวน ๓๐๗,๒๙๔ บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๕,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.

Share