คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4340/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินที่จำเลยนำไปใช้ เป็นภาพถ่ายจากต้นฉบับเอกสารราชการเพียงแต่แตกต่างกันในตัวเลขเกี่ยวกับราคาประเมินเท่านั้น กล่าวคือ เอกสารที่แท้จริงซึ่งเป็นต้นฉบับระบุราคาประเมินที่ดินจำนวน 28,000 บาท แต่ตามภาพถ่ายสำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินระบุราคาประเมินที่ดินจำนวน 828,000 บาทดังนั้น สำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินจึงเป็นการแก้ไขตัวเลขอันเป็นการทำปลอมขึ้นจากหนังสือรับรองราคาประเมินซึ่งเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงแม้จะเป็นการทำปลอมในสำเนาเอกสารราชการก็ต้องถือว่าเป็นการปลอมเอกสารราชการ เมื่อจำเลยได้นำสำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินไปใช้แสดงต่อโจทก์ร่วมเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นภาพถ่ายจากเอกสารที่แท้จริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม
ตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265,268 ซึ่งมีโทษจำคุกหกเดือนถึงห้าปี จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้น แม้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วจะได้ความว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งมีอัตราโทษอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์เปลี่ยนแปลงไป ศาลชั้นต้นยังคงมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265, 268, 341, 91 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 500,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นายพินัย ไตรวิวัฒน์วงศ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 (ที่ถูกต้องเป็นมาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265, 341)การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 268 (ที่ถูกต้องเป็นมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265)ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 500,000 บาท แก่โจทก์ร่วม

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ตกลงซื้อที่ดินเลขที่ 2338 เลขที่ดิน 29 หน้าสำรวจ 156ตำบลนาตาล่วง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง จากจำเลยในราคา 550,000 บาทปรากฏตามสัญญาจะซื้อขาย เอกสารหมาย จ.3 โดยในการซื้อขายจำเลยได้นำแผนที่แสดงที่ตั้งของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 และสำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นเอกสารปลอมแสดงต่อโจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมเข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาประเมินเป็นเงิน 828,000 บาท แต่ความจริงราคาประเมินที่ดินมีเพียง 28,000 บาท เท่านั้น ตามเอกสารหมาย ปล.1 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าการที่จำเลยนำเอกสารหมาย จ.2 ไปใช้แสดงต่อโจทก์ร่วมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 หรือไม่ และศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ ในประเด็นแรกจะต้องวินิจฉัยเป็นเบื้องต้นก่อนว่า สำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารราชการหรือไม่ เห็นว่า เอกสารหมาย จ.2 เป็นภาพถ่ายจากต้นฉบับเอกสารราชการ คือเอกสารหมาย ปล.1 เพียงแต่แตกต่างกันในตัวเลขเกี่ยวกับราคาประเมินเท่านั้น กล่าวคือเอกสารที่แท้จริงซึ่งเป็นต้นฉบับตามเอกสารหมาย ปล.1 ระบุราคาประเมินที่ดินจำนวน 28,000 บาท แต่ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.2 ระบุราคาประเมินที่ดินจำนวน 828,000 บาท ดังนี้ ตามเอกสารหมาย จ.2 จึงเป็นการแก้ไขตัวเลขอันเป็นการทำปลอมขึ้นจากเอกสารหมาย ปล.1 ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงแม้จะเป็นการทำปลอมในสำเนาเอกสารราชการก็ต้องถือว่าเป็นการปลอมเอกสารราชการ เมื่อจำเลยได้นำเอกสารหมาย จ.2 ไปใช้แสดงต่อโจทก์ร่วมเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นภาพถ่ายจากเอกสารที่แท้จริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 ซึ่งมีโทษจำคุกหกเดือนถึงห้าปีจึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นแม้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วจะได้ความว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งมีอัตราโทษอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์เปลี่ยนแปลงไป ศาลชั้นต้นยังคงมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีต่อไป หาใช่เป็นว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเช่นนี้อยู่ในอำนาจของศาลแขวง ดังที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”

พิพากษายืน

Share