คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5400/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การโอนทรัพย์พิพาทเป็นนิติกรรมที่กระทำภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนมีการขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย ทั้งเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนอันเป็นการให้โดยเสน่หา ซึ่งตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 113 ประกอบมาตรา 114 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการกระทำที่จำเลยที่ 2 ผู้โอนและผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับโอนอันเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว
พยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 นำสืบมาไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย เนื่องจากทรัพย์พิพาทแม้จะมีภาระผูกพันตามสัญญาเช่าเป็นเวลาอีกกว่า 10 ปี ทรัพย์พิพาทก็ยังคงมีมูลค่าอยู่ แต่จำเลยที่ 2 กลับโอนให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่มีค่าตอบแทนในขณะที่คดีนี้มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รวม 5 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 86,908,418.05 บาท ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 โอนทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน โดยจำเลยที่ 2 และผู้คัดค้านรู้อยู่ว่าเป็นทางที่ทำให้เจ้าหนี้ทั้งหลายต้องเสียเปรียบ อันเป็นการกระทำโดยฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237
ข้อที่ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า โจทก์ยื่นคำร้องต่อผู้ร้องขอให้ดำเนินการเพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาทเกินระยะเวลาที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนได้นั้น เป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้านจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วโดยชอบในศาลล้มละลายกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2545 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2545
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 88438 และ 88439 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านตามมาตรา 113 และมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำสั่งหรือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของผู้คัดค้าน ในกรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านชดใช้ราคาทรัพย์สินตามราคาประเมินเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น เป็นเงิน 2,152,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอนจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 88438 และ 88439 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านตามมาตรา 113 และมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่ยอมให้ปฏิบัติให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของผู้คัดค้าน ในกรณีที่ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านชดใช้ราคาที่ดินทั้งแปลงตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่นเป็นเงิน 2,152,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2545 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2545 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 88438 และ 88439 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และได้จดทะเบียนทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หาและไม่มีค่าตอบแทนเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2544 และ 19 ตุลาคม 2544 ตามลำดับ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้เพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า การโอนทรัพย์พิพาทดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบและไม่เข้าหลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉล เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่รับฟังยุติข้างต้น จำเลยที่ 2 จดทะเบียนทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินรวม 2 แปลง อันเป็นทรัพย์พิพาทแก่ผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 17 และ 19 ตุลาคม 2544 ส่วนโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2545 การโอนทรัพย์พิพาทดังกล่าวเป็นนิติกรรมที่กระทำภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนมีการขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย ทั้งเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนอันเป็นการให้โดยเสน่หาซึ่งตามมาตรา 113 ประกอบมาตรา 114 ดังกล่าวให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการกระทำที่จำเลยที่ 2 ผู้โอนและผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับโอนอันเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว จากบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ความว่าจำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาให้ทรัพย์พิพาทแก่ผู้คัดค้านเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้คัดค้านได้ดูแลจำเลยที่ 2 และสามี คือจำเลยที่ 1 โดยไม่มีเจตนาฉ้อฉลหรือเพื่อให้เจ้าหนี้อื่นต้องเสียเปรียบเพราะทรัพย์พิพาทยังมีภาระตามสัญญาเช่ากับบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เป็นระยะเวลา 20 ปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2540 และได้มีการชำระค่าเช่าในวันทำสัญญาแล้ว ผู้คัดค้านไม่สามารถนำที่ดินไปหาประโยชน์อื่นใดได้ โจทก์เคยยื่นฟ้องผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ขอให้เพิกถอนการยกให้ทรัพย์พิพาท แต่ต่อมาได้ถอนฟ้อง โจทก์ทราบเรื่องมาโดยตลอดแล้ว แต่ไม่ติดใจการยกให้ที่ดินดังกล่าว จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียเปรียบนั้น เห็นได้ว่าพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 นำสืบดังกล่าวไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย เนื่องจากทรัพย์พิพาทดังกล่าวแม้จะมีภาระผูกพันตามสัญญาเช่าเป็นเวลาอีกกว่า 10 ปี แต่ทรัพย์พิพาทก็ยังคงมีมูลค่าอยู่ แต่จำเลยที่ 2 กลับโอนให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่มีค่าตอบแทนในขณะที่คดีนี้มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รวม 5 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 86,908,418.05 บาท ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 โอนทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน โดยจำเลยที่ 2 และผู้คัดค้านรู้อยู่ว่าเป็นทางที่ทำให้เจ้าหนี้ทั้งหลายต้องเสียเปรียบ อันเป็นการกระทำโดยฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ส่วนที่ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า โจทก์เคยฟ้องผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ต่อศาลจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2544 ขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้าน แต่ต่อมาได้ถอนฟ้องไปเมื่อโจทก์มายื่นคำร้องต่อผู้ร้องในวันที่ 17 ธันวาคม 2546 ขอให้ดำเนินการเพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาท จึงเกินระยะเวลาที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนได้นั้น เห็นว่า ข้อที่ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้าน จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล้มละลายกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ทั้งมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share