แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำเอกสารปลอมและเท็จขึ้น ซึ่งสำเนาใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าฉบับมุมน้ำเงินทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าบริษัท ส. ได้ส่งผลิตภัณฑ์ผ้าลายปักฉลุหรือผ้าผืนปักลายฉลุที่ผลิตได้จากผ้าผืนออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด ถ้าหากจำเลยไม่กระทำเช่นนั้นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนย่อมสามารถเรียกเก็บอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีส่วนท้องถิ่น สำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นที่นำเข้ามาจากต่างประเทศได้เมื่อครบกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันนำเข้า การที่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีอากรจากบริษัทและธนาคารที่ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าว มีผลมาจากการกระทำโดยจงใจของจำเลยโดยตรงที่กระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายทำให้โจทก์เสียหายแก่สิทธิในการจัดเก็บภาษีจากบริษัทและธนาคารที่ออกหนังสือค้ำประกันและต้องจ่ายเงินค่าชดเชยค่าภาษีให้แก่บริษัทดังกล่าว อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือค่าภาษีอากรที่โจทก์ไม่สามารถจะเรียกเก็บได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 14,919,076.85 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 297,839.45 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 20 พฤษภาคม 2535) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ขอให้บังคับจำเลยรับผิดตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยทำสำเนาใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าฉบับมุมน้ำเงินเลขที่ 010 – 4 ถึงเลขที่ 010 – 6 ลงวันที่ 20 มกราคม 2530 ที่แสดงผ่านพิธีการศุลกากรขาออกแล้วอันเป็นการปลอมและเท็จ เพื่อให้บริษัทสินร่วม จำกัด นำไปยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อแสดงว่า บริษัทดังกล่าวส่งผลิตภัณฑ์ผ้าลายปักฉลุหรือผ้าผืนปักลายฉลุที่ผลิตได้จากผ้าผืนออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด แล้วบริษัทดังกล่าวขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตัดบัญชีวัตถุดิบ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหลงเชื่อตามสำเนาใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าดังกล่าวจึงตัดบัญชีวัตถุดิบผ้าผืนให้บริษัทดังกล่าวจำนวน 471,686 หลา คิดเป็นค่าอากรขาเข้า 11,350,946.86 บาท ภาษีการค้า 2,972,991.40 บาท ภาษีส่วนท้องถิ่น 279,299.14 บาท รวมเป็นค่าภาษีอากรทั้งสิ้น 14,621,237.40 บาทนั้น ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 มาตรา 36 (1) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญญัติว่าเพื่อส่งเสริมการส่งออก คณะกรรมการอาจให้ผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับสิทธิและประโยชน์โดยได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถดิบและวัตถุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ผลิต ผสม หรือประกอบผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลเฉพาะที่ใช้ในการส่งออก ซึ่งบริษัทสินร่วม จำกัด ได้รับบัตรส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนโดยได้รับสิทธิและประโยชน์ ตามมาตรา 36 (1) ให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีการค้า สำหรับวัตถุดิบหรือวัตถุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลาหนึ่งปี มีผลนับแต่วันนำเข้าครั้งแรก ซึ่งมีเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินการส่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ออกไปจำหน่ายต่างประเทศทั้งสิ้น ฉะนั้น การที่บริษัทสินร่วม จำกัด จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศก็ต้องปฏิบัติตามสิทธิและประโยชน์รวมทั้งเงื่อนไข ตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ตนได้รับ แต่การที่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีส่วนท้องถิ่นเนื่องมาจากโจทก์หลงเชื่อว่าบริษัทดังกล่าวได้ส่งผลิตภัณฑ์ผ้าลายปักฉลุหรือผ้าผืนปักลายฉลุที่ผลิตได้จากผ้าผืนออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดตามสำเนาใบขนสินค้าขาออกและแบบแสดงรายการการค้าฉบับมุมน้ำเงินที่แสดงว่าผ่านพิธีการทางศุลกากรขาออกแล้ว อันเป็นเอกสารที่จำเลยเป็นผู้ทำปลอมและเท็จขึ้น การที่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีอากรจากบริษัทและธนาคารที่ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวมีผลมาจากการกระทำโดยจงใจของจำเลยโดยตรงที่กระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายทำให้โจทก์เสียหายแก่สิทธิในการจัดเก็บภาษีจากบริษัทและธนาคารที่ออกหนังสือค้ำประกันและต้องจ่ายเงินค่าชดเชยค่าภาษีให้แก่บริษัทดังกล่าวอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือค่าภาษีอากรที่โจทก์ไม่สามารถจะเรียกเก็บได้ดังที่วินิจฉัยมา ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 297,839.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ในส่วนที่โจทก์ไม่สามารถจะเรียกเก็บได้จากบริษัทสินร่วม จำกัด และธนาคารที่ออกหนังสือค้ำประกันแทนการชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีส่วนท้องถิ่นขอบริษัทสินร่วม จำกัด โดยรับผิดไม่เกินจำนวน 14,919,076.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 20 พฤษภาคม 2535) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท.