คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 โกรธผู้ตาย เพราะเหตุที่ผู้ตายไปตามหาจำเลยที่ 1 เพื่อจะจับกุม จำเลยทั้งสองจึงมาหาผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 นำมีดติดตัวมาด้วย เมื่อผู้ตายจะจับกุม จำเลยที่ 1 กับผู้ตายจึงเกิดกอดปล้ำแย่งอาวุธปืนกัน จำเลยที่ 1 แย่งอาวุธปืนมาได้จึงยิงผู้ตายล้มลง จำเลยที่ 1 จึงเอาอาวุธปืนของผู้ตายหลบหนีไปด้วยเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วยจำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธเท่านั้นไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๓๓๙, ๓๗๑, ๘๓, ๙๑, ๙๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ ริบมีดดาบ หัวกระสุนปืนของกลาง และคืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๒), ๓๓๙ วรรคท้าย, ๓๗๑, ๘๓ นอกจากนี้จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคสาม, ๗๒ ทวิวรรคสอง เฉพาะจำเลยที่ ๑ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙(๒), ๘๓ อันเป็นบทที่มีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ โดยให้ประหารชีวิตกระทงหนึ่งฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนโดยมิได้รับใบอนุญาตจำคุก ๖ เดือน กระทงหนึ่ง และฐานพาอาวุธปืนกับเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อันเป็นบทที่มีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๖ เดือนอีกกระทงหนึ่งเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ ๑ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๒), ๘๓อันเป็นบทที่มีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำเลยที่ ๒อายุไม่เกิน ๑๗ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๕, ๕๒ แล้วจำคุกตลอดชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยที่ ๒ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘, ๕๓ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๓๓ ปี ๔ เดือน ริบมีดดาบและหัวกระสุนปืนของกลาง คืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงทางพิจารณาได้ความตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งเป็นยุติว่า เมื่อประมาณวันที่ ๙หรือ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๙ เวลากลางคืน จำเลยที่ ๑ กับพวกได้วิวาทต่อสู่กับวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งในงานโดยผู้ตาย จ่าสิบตำรวจเสรีและจ่าสิบตำรวจขาวรักษาความสงบอยู่ในบริเวณงานตามหน้าที่ผู้ตายจึงเข้าไประงับเหตุ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเลิกการวิวาทต่อสู้กันต่อมาเมื่อประมาณวันที่ ๑๑ เดือนเดียวกันฝ่ายวัยรุ่นก็ถูกจำเลยที่ ๑กับพวกตีได้มาพบผู้ตายและขอให้ผู้ตายพาไปบ้านจำเลยที่ ๑ผู้ตายจึงพาไป แต่ไม่พบจำเลยที่ ๑ ผู้ตายได้สั่งบิดาของจำเลยที่ ๑ไว้ว่าให้จำเลยที่ ๑ ไปพบผู้ตาย ต่อมาวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๙เวลาประมาณ ๐๐.๓๐ นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น จำเลยทั้งสองจึงพากันไปหาผู้ตายซึ่งเข้าเวรรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ จำเลยที่ ๑นำมีดดาบเป็นอาวุธติดตัวไปด้วย ๑ เล่ม ต่อมาจำเลยทั้งสองกับผู้ตายได้ต่อสู้กัน ปรากฏว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนที่บริเวณสีข้างด้านขวา๑ นัด และที่สะบักขวา ๑ นัด และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาส่วนจำเลยที่ ๑ ถูกกระสุนปืนของผู้ตายที่โคนขา ๑ นัด จำเลยที่ ๒ ถูกมีดแทงที่ท่อนแขนขวา ๑ แห่ง แล้วจำเลยทั้งสองหลบหนีไป โดยจำเลยที่ ๑ เอาอาวุธปืนสั้นของผู้ตายติดตัวไปด้วย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑น่าจะมีความผิดฐานลักทรัพย์เท่านั้นมิใช่ฐานชิงทรัพย์ เพราะมีเจตนาเอาอาวุธปืนของผู้ตายไปภายหลังที่แย่งปืนได้แล้วนั้นเห็นว่า ทางพิจารณาได้ความชัดแจ้งว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ ๑โกรธผู้ตายเพราะเหตุที่ผู้ตายไปตามหาจำเลยที่ ๑ เพื่อจะจับกุม และเหตุที่จำเลยทั้งสองมาหาผู้ตายโดยจำเลยที่ ๑ นำมีดดาบติดตัวไปด้วยก็เพราะเรื่องดังกล่าวนี้ มิได้มีเจตนาเพื่อประสงค์จะชิงอาวุธปืนจากผู้ตาย แต่เมื่อผู้ตายจะจับกุมจำเลยที่ ๑ จึงเกิดกอดปล้ำแย่งอาวุธปืนกันขึ้น เมื่อผู้ตายถูกยิงล้มลงบนพื้นดินแล้วจำเลยที่ ๑ จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะได้อาวุธปืนของผู้ตายไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจึงเอาอาวุธปืนของผู้ตายหลบหนีไปด้วยแต่ผู้เดียวโดยจำเลยที่ ๒ มิได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วย จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธปืนเท่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง และเนื่องจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ถูกกล่าวว่าร่วมกันกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยมาแล้วดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ ๒ ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๓ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคท้าย แต่จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕(๑)(๗) วรรคสามสำหรับความผิดตามมาตรา ๓๓๕(๑)(๗) วรรคสาม ให้จำคุกจำเลยที่ ๑เป็นเวลา ๒ ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ ๑ แต่เนื่องจากมีเหตุบรรเทาโทษดังกล่าวมาแล้วจึงลดโทษให้จำเลยที่ ๑ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ ประกอบด้วย มาตรา ๕๒(๑) คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ตลอดชีวิตส่วนกำหนดโทษและข้อความอย่างอื่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share