แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายให้จำเลยรับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์ฟ้องโจทก์มีแต่เรื่องละเมิดเรื่องฝากทรัพย์จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีศาลจะพิพากษาให้บังคับชำระหนี้ตามสัญญาฝากทรัพย์ไม่ได้และเรื่องฝากทรัพย์มิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเรื่องสัญญาฝากทรัพย์ขึ้นวินิจฉัยนั้นจึงเป็นการไม่ชอบแต่พยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีศาลฎีกาจึงเห็นควรพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ จำเลยที่1เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำเลยที่2ที่3และที่4เป็นเจ้าหน้าที่แต่งกายเช่นเดียวกับจำเลยที่1ยืนเก็บบัตรจอดรถและปล่อยรถยนต์ออกจากอาคารจอดรถจำเลยที่5เป็นเจ้าของอาคารจอดรถอาคารจอดรถของจำเลยที่5มีทางเข้า1ทางทางออก1ทางปากทางมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ที่คอกกั้นคอยเก็บเงิน5บาทพร้อมกับออกบัตรค่าเช่าที่จอดรถราคา5บาทโดยจดทะเบียนรถไว้ในบัตรด้วยซึ่งที่ด้านหน้าบัตรตอนล่างมีข้อความว่าบริการรักษาความสะอาดและรักษาความปลอดภัยด้านหลังของบัตรมีข้อความว่า1.ผู้ขับขี่ต้องเก็บบัตรไว้กับตัวเพื่อป้องกันรถหาย2.กรุณาคืนบัตรทุกครั้งก่อนออกจากบริเวณที่จอดรถฯลฯ6.บัตรสูญหายหรือไม่นำมาแสดงบริษัทจะไม่อนุญาตให้นำรถออกจนกว่าจะหาหลักฐานมาแสดงจนเป็นที่พอใจและในที่จอดรถมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนเดินตรวจตราที่กำแพงบริเวณลานจอดรถก็มีคำเตือนว่ากรุณาอย่าลืมบัตรจอดรถเพราะรถยนต์อาจสูญหายสำหรับทางขาออกมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ที่คอกกั้นคอยตรวจรับบัตรและปล่อยรถออกพฤติการณ์ดังกล่าวแม้จะปรากฏว่าผู้มาใช้บริการที่จอดรถจะเป็นผู้เลือกที่จอดรถเองดูแลปิดประตูรถและเก็บกุญแจรถไว้เองและที่บัตรค่าเช่าจอดรถด้านหลังจะมีข้อความว่าหากมีการสูญหายหรือเสียหายใดๆเกิดขึ้นทุกกรณีผู้ครอบครองต้องรับผิดชอบเองทุกประการก็ตามแต่ก็ย่อมจะทำให้ผู้ใช้บริการจอดรถโดยทั่วไปเข้าใจได้ว่าที่อาคารจอดรถของจำเลยที่5นี้มีบริการรักษาความเรียบร้อยความปลอดภัยสำหรับรถยนต์ที่จะนำรถเข้ามาจอดขณะมาติดต่อธุรกิจหรือซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่5โดยรับดูแลความเรียบร้อยความปลอดภัยทั้งขณะที่รถจอดอยู่ในอาคารและขณะที่รถจะออกจากอาคารซึ่งผู้ที่มิใช่เจ้าของรถและถือบัตรค่าเช่าที่จอดรถจะลักลอบนำรถออกไปไม่ได้เพราะจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบก่อนทั้งนี้โดยที่ผู้ใช้บริการที่จอดรถจะต้องเสียเงิน5บาทเป็นค่าตอบแทนการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำก่อนๆของจำเลยทั้งห้าก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยทั้งห้าต้องดูแลรักษาความเรียบร้อยความปลอดภัยแก่รถยนต์ที่นำเข้ามาจอดจำเลยที่1มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับอาคารสถานที่ตลอดจนรถยนต์ที่เข้ามาจอดและความเรียบร้อยโดยทั่วไปไม่ปรากฏว่ามีหน้าที่โดยเฉพาะในการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์และไม่ปรากฏว่าเหตุโจรกรรมรถยนต์ของโจทก์ได้เกิดต่อหน้าจำเลยที่1แล้วจำเลยที่1งดเว้นป้องกันการโจรกรรมรถยนต์นั้นการที่รถยนต์ของโจทก์ถูกลักไปจะถือว่าเกิดจากการที่จำเลยที่1งดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันผลการโจรกรรมรถยนต์นั้นไม่ได้จำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420 จำเลยที่2ถึงที่4ยืนเก็บเงินออกบัตรจดทะเบียนรถลงในบัตรและตรวจบัตรขณะที่รถยนต์ออกจากลานจอดรถที่อยู่ที่คอกกั้นตรงทางเข้าออกลานจอดรถหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่2ถึงที่4จึงเกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของรถนำรถออกไปจากลานจอดรถหรือป้องกันการโจรกรรมรถยนต์โดยตรงซึ่งที่ลานจอดรถและที่ด้านหลังบัตรจอดรถมีข้อความว่าผู้ใช้บริการลานจอดรถจะต้องเก็บรักษาบัตรไว้เพื่อตรวจขณะจะนำรถออกจากลานจอดรถมิฉะนั้นบริษัทจะไม่ยอมให้นำรถออกไปจนกว่าจะหาหลักฐานอื่นมาแสดงยืนยันเมื่อทางเข้าออกลานจอดรถมีอยู่ทางเดียวหากจำเลยที่2ถึงที่4ซึ่งอยู่ที่คอกกั้นตรวจบัตรอย่างเคร่งครัดก็ยากที่รถยนต์ของโจทก์จะถูกลักไปได้การที่จำเลยที่2ถึงที่4ไม่ระมัดระวังตรวจบัตรจอดรถโดยเคร่งครัดอันเป็นการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการโจรกรรมรถยนต์เป็นผลโดยตรงทำให้รถยนต์ของโจทก์ถูกลักไปและเป็นการประมาทเลินเล่อจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420จำเลยที่2ถึงที่4ต้องรับผิดต่อโจทก์เมื่อจำเลยที่2ถึงที่4เป็นลูกจ้างของจำเลยที่5กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่5จำเลยที่5นายจ้างย่อมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่2ถึงที่4ต่อโจทก์ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา425 คดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีข้อหาฝากทรัพย์แต่เป็นคดีข้อหาละเมิดแม้ว่าจำเลยที่3ถึงที่5จะไม่ฎีกาในเรื่องจำนวนความเสียหายตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ในฐานผิดสัญญาฝากทรัพย์ศาลฎีกาก็เห็นควรวินิจฉัยถึงความเสียหายของโจทก์ในฐานละเมิดตามที่ได้ยกขึ้นวินิจฉัยไว้แล้วต่อไปซึ่งค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา438
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์กระบะ โจทก์ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อไปซื้อสินค้า ณ ศูนย์การค้าของจำเลยที่ 5เมื่อไปถึงทางเข้า เจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งประจำอยู่ในคอกยามมีชื่อของจำเลยที่ 5 แสดงให้เห็นได้เรียกเก็บเงินจากโจทก์เป็นจำนวน5 บาท พร้อมกับจดหมายเลขทะเบียนรถลงในบัตรผ่านซึ่งมีสัญลักษณ์ของจำเลยที่ 5 ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนและส่งมอบให้แก่โจทก์ยึดถือไว้เพื่อเข้าไปใช้ที่จอดรถยนต์ โจทก์นำรถยนต์ไปจอด เมื่อโจทก์กลับออกมาปรากฏว่ารถยนต์ของโจทก์ได้สูญหายไป ซึ่งในขณะนั้นมีจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์และเป็นไปตามวัตถุประสงค์แห่งกิจการของจำเลยที่ 5 ในบริเวณอาคารส่วนนี้กล่าวคือ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ที่บริเวณที่จอดรถ และตรงทางออกมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อยู่ร่วมกันตรวจบัตรผ่านของผู้ขับรถยนต์ที่ออกจากศูนย์การค้าของจำเลยที่ 5การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่รถยนต์และทรัพย์สินของผู้มาซื้อสินค้าและบริการ แทนที่จะเดินตรวจตราไปมาในบริเวณที่ตนรับผิดชอบ กลับอยู่นิ่งเฉยเสียและปล่อยปละละเลย ทำให้คนร้ายมีเวลาเพียงพอในการนำรถยนต์ของโจทก์ออกจากที่จอดไปได้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งร่วมกันตรวจบัตรผ่านของผู้ที่จะขับรถยนต์ออกจากบริเวณศูนย์การค้าแทนที่จะใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่เคยปฏิบัติกลับจงใจหรือประมาทเลินเล่อปล่อยให้คนร้ายนำรถยนต์ของโจทก์ผ่านไปได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีบัตรผ่านหรือเรียกบัตรผ่านคืนไว้ก่อน เป็นเหตุให้โจทก์ต้องสูญเสียทรัพย์สิน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4จึงต้องร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ และจำเลยที่ 5ซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์การค้าโดยเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4หรือเป็นตัวการจำต้องรับผิดร่วมด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระราคารถยนต์และทรัพย์สินที่สูญหายเป็นเงินทั้งสิ้น266,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 5 ได้ปลูกสร้างอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์เพื่อให้บุคคลทั่วไปเช่าสถานที่เพื่อประกอบการค้า แต่สำหรับลานจอดรถจำเลยที่ 5 ได้ให้บริษัทดูอิ้งเวลจำกัด เช่าเพื่อทำการประกอบธุรกิจในการให้บริการจอดรถ จำเลยที่ 1นั้นเป็นลูกจ้างของบริษัทดูอิ้งเวล จำกัด ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 นั้นเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 ขณะเกิดเหตุเป็นเพียงผู้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกสำหรับการจราจรนอกเขตพื้นที่ลานจอดรถและดูแลความสงบเรียบร้อยทั่วไปเท่านั้น ไม่มีหน้าที่เฝ้าดูแลรักษารถในกิจการของบริษัทดูอิ้งเวล จำกัด บัตรที่ออกให้แก่ผู้จอดรถนั้นระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นค่าเช่าที่จอดรถยนต์ ไม่ใช่เป็นการรับฝากทรัพย์ แม้แต่กุญแจรถก็ยังอยู่กับเจ้าของรถด้านหลังบัตรก็ปฏิเสธความรับผิดของผู้ให้บริการไว้แล้ว การที่รถยนต์ของโจทก์สูญหายนั้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ราคารถยนต์จำนวน 239,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ที่ 3 ที่ 4 และ ที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ โจทก์มิได้บรรยายให้จำเลยรับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์ ฟ้องโจทก์มีแต่เรื่องละเมิดเรื่องฝากทรัพย์จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ศาลจะพิพากษาให้บังคับชำระหนี้ตามสัญญาฝากทรัพย์หาได้ไม่ และเรื่องฝากทรัพย์มิได้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 225 การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเรื่องสัญญาฝากทรัพย์ขึ้นวินิจฉัยนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เนื่องจากพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดี ศาลฎีกาจึงเห็นควรพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้ากระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า อาคารจอดรถของจำเลยที่ 5มีทางเข้า 1 ทาง ทางออก 1 ทาง ปากทางเข้ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ที่คอกกั้นคอยเก็บเงิน 5 บาท พร้อมกับออกบัตรค่าเช่าที่จอดรถราคา 5 บาท โดยจดทะเบียนรถไว้ในบัตรด้วย ตามบัตรเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งที่ด้านหน้าบัตรตอนล่างมีข้อความว่า บริการรักษาความสะอาดและรักษาความปลอดภัย ด้านหลังของบัตรมีข้อความว่า1. ผู้ขับขี่ต้องเก็บบัตรไว้กับตัวเพื่อป้องกันรถหาย 2. กรุณาคืนบัตรทุกครั้ง ก่อนออกจากบริเวณที่จอดรถ ฯลฯ 6. บัตรสูญหายหรือไม่นำมาแสดง บริษัทจะไม่อนุญาตให้นำรถออกจนกว่าจะหาหลักฐานมาแสดงจนเป็นที่พอใจ และในที่จอดรถมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนเดินตรวจตรา ที่กำแพงบริเวณลานจอดรถก็มีคำเตือนว่า กรุณาอย่าลืมบัตรจอดรถเพราะรถยนต์อาจสูญหาย สำหรับทางขาออกมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ที่คอกกั้นคอยตรวจรับบัตรและปล่อยรถออกพฤติการณ์ดังกล่าวแม้จะปรากฏว่าผู้มาใช้บริการที่จอดรถจะเป็นผู้เลือกที่จอดรถเอง ดูแลปิดประตูรถและเก็บกุญแจรถไว้เอง อีกทั้งที่บัตรค่าเช่าจอดรถด้านหลังจะมีข้อความว่า หากมีการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ เกิดขึ้นทุกกรณี ผู้ครอบครองต้องรับผิดชอบเองทุกประการก็ตาม แต่ก็ย่อมจะทำให้ผู้ใช้บริการจอดรถโดยทั่วไปเข้าใจได้ว่า ที่อาคารจอดรถของจำเลยที่ 5 นี้ มีบริการรักษาความเรียบร้อยความปลอดภัยสำหรับรถยนต์ที่จะนำเข้ามาจอดขณะมาติดต่อธุรกิจหรือซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่ 5 โดยรับดูแลความเรียบร้อย ความปลอดภัยทั้งขณะที่รถจอดอยู่ในอาคารและขณะที่รถจะออกจากอาคาร ซึ่งผู้ที่มิใช่เจ้าของรถและถือบัตรค่าเช่าที่จอดรถจะลักลอบนำรถออกไปไม่ได้ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบก่อน ทั้งนี้โดยที่ผู้ใช้บริการที่จอดรถจะต้องเสียเงิน 5 บาทเป็นค่าตอบแทน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำก่อน ๆ ของจำเลยทั้งห้าก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยทั้งห้าต้องดูแลรักษาความเรียบร้อยความปลอดภัยแก่รถยนต์ที่นำเข้ามาจอด สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นตัวโจทก์เบิกความแต่เพียงว่า เมื่อโจทก์นำรถยนต์เข้าไปจอดเห็นจำเลยที่ 1 ยืนดูแลอยู่ใกล้ ๆ แล้ว โจทก์เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าต่อมาเมื่อทราบว่ารถยนต์สูญหายจึงเดินไปสอบถามจำเลยที่ 1ซึ่งยังเดินดูแลรถยนต์อยู่ที่บริเวณชั้นจอดรถ จำเลยที่ 1 บอกว่าไม่เห็น ตามทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าวประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีตามที่ได้วินิจฉัยแล้วคงได้ความแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับอาคารสถานที่ตลอดจนรถยนต์ที่เข้ามาจอดและความเรียบร้อยโดยทั่วไป ไม่ปรากฏว่ามีหน้าที่โดยเฉพาะในการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ และไม่ปรากฏว่าเหตุโจรกรรมรถยนต์ของโจทก์ได้เกิดต่อหน้าจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 งดเว้นป้องกันการโจรกรรมรถยนต์นั้น ดังนี้ การที่รถยนต์ของโจทก์ถูกลักไปจะถือว่าเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 งดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันผลการโจรกรรมรถยนต์นั้นไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 นั้น ปรากฏว่า ยืนเก็บเงินออกบัตรจดทะเบียนรถลงในบัตร และตรวจบัตรขณะที่รถยนต์ออกจากลานจอดรถอยู่ที่คอกกั้นตรงทางเข้าออกลานจอดรถ หน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของรถนำรถออกไปจากลานจอดรถหรือป้องกันการโจรกรรมรถยนต์โดยตรงซึ่งได้กล่าวแล้วว่าที่ลานจอดรถและที่ด้านหลังบัตรเอกสารหมาย จ.2มีข้อความว่า ผู้ใช้บริการลานจอดรถจะต้องเก็บรักษาบัตรไว้เพื่อตรวจขณะจะนำรถออกจากลานจอดรถ มิฉะนั้น บริษัทจะไม่ยอมให้นำรถออกไปจนกว่าจะหาหลักฐานอื่นมาแสดงยืนยัน ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าทางเข้าออกลานจอดรถมีอยู่ทางเดียว หากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ซึ่งอยู่ที่คอกกั้นตรวจบัตรอย่างเคร่งครัดก็ยากที่รถยนต์ของโจทก์จะถูกลักไปได้ การที่รถยนต์ของโจทก์สูญหายไปนี้เชื่อว่า จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ไม่ระมัดระวังตรวจบัตรจอดรถโดยเคร่งครัด อันเป็นการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ เป็นผลโดยตรงทำให้รถยนต์ของโจทก์ถูกลักไป และเป็นการประมาทเลินเล่อ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5จำเลยที่ 5 นายจ้างย่อมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ต่อโจทก์ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และเมื่อคดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีข้อหาฝากทรัพย์ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้แต่เป็นคดีข้อหาละเมิด แม้ว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 จะไม่ฎีกาในเรื่องจำนวนความเสียหายตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ในฐานผิดสัญญาฝากทรัพย์ ศาลฎีกาก็เห็นควรวินิจฉัยถึงความเสียหายของโจทก์ในฐานละเมิดตามที่ได้ยกขึ้นวินิจฉัยไว้แล้วต่อไป ซึ่งค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้วเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพียง 200,000 บาท กรณีเป็นหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 2ซึ่งมิได้ฎีกาได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245(1), 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกันชำระเงิน200,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1