คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เปิดบัญชีเดินสะพัดกระแสรายวันกับโจทก์ โดยมีเงื่อนไขในการสั่งจ่ายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้เซ็นสั่งจ่ายพร้อมประทับตราของจำเลยที่ 1 โดยไม่คำนึงถึง ป. กับกรรมการอื่น ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ เมื่อจำเลยที่ 2 ในนามของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์และยินยอมให้โจทก์เพิ่มดอกเบี้ยในการกู้เบิกเงินเกินบัญชี ทั้งได้นำเงินฝากเข้าบัญชีและถอนเงินตลอดมา ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินบัญชีจำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันรับผิดในการที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของโจทก์โดยเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์สาขาปากเกร็ด เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเดินสะพัดและเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ได้ทำสัญญากู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ได้เข้าค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ ๑ เบิกเงินออกจากบัญชีและนำเงินเข้าเรื่อยมา จนกระทั่งเงินเกินบัญชีอยู่เป็นจำนวนมาก โจทก์จึงได้บอกกล่าวทวงถามและตัดทอนบัญชี ซึ่งบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ ๑ สิ้นสุดลงในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๕ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามบัญชีเดินสะพัดเป็นเงิน ๓๔๑,๓๐๒.๐๗ บาท กับดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินเบิกเงินเกินบัญชี ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน ๓๕๐,๒๒๒.๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีจากต้นเงิน ๓๔๑,๓๐๒.๐๗ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ เปิดบัญชีไว้กับโจทก์จริง แต่ปฏิเสธว่าวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยตกลงกับโจทก์ขอเบิกเงินเกินบัญชีชั่วคราว และไม่เคยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ ๑๕ และเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ จำเลที่ ๑ ไม่เคยตกลงหรือทำสัญญาหรือจ่ายเช็คเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาจากธนาคารโจทก์ สาขาปากเกร็ด แต่ประการใด จำเลยที่ ๒ ได้เบิกเงินเกินบัญชีในฐานะส่วนตัว ที่ไม่เคยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๑ หรือกรรมการอื่นของบริษัทจำเลยที่ ๑ เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๒ ได้บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์แล้ว จำเลยจึงไม่เป็นหนี้ต่อโจทก์อีก จำเลยที่ ๒ เคยเบิกเงินเกินบัญชีในนามจำเลยที่ ๑ เพื่อความสะดวกในการอนุมัติเงินกู้ แต่ได้บอกเลิดสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จแล้ว จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๕๐,๒๒๒.๖๗ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีของต้นเงิน ๓๔๑,๓๐๒.๐๗ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เคยขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทกระแสรายวันเลขที่ ๑๓๒ ไว้กับธนาคารโจทก์ สาขาปากเกร็ด ต่อมาวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญากู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์ไว้กับธนาคารเดียวกันตามเอกสารหมาย จ.๙ คดีมีปัญหาว่าจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญากู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวแทนจำเลยที่ ๑ หรือไม่ และจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดด้วยเพียงใดหรือไม่ คดีได้ความจากนายจงกล สุขเสงี่ยม พนักงานสินเชื่อโจทก์ และนางเสาวนีย์ จันทร์แดง ซึ่งเคยเป็นพนักงานสมุห์บัญชีธนาคารโจทก์ สาขาปากเกร็ด ขณะเกิดพิพาทว่า เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ได้ขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทกระแสรายวัน เลขที่ ๑๓๒ ตามเอกสารหมาย จ.๗ ทั้งนี้โดยจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ กระทำการแทนตามรายงานการประชุมเอกสารหมาย จ.๘ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้น อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของยอดหนี้ที่ค้างตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๙ โดยจำเลยที่ ๒ ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๑๑ นับตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้โจทก์เพิ่มดอกเบี้ยจากร้อยละ ๑๕ เป็นร้อยละ ๑๘ ต่อปี ตามหนังสือยินยอมเอกสารหมาย จ.๑๑ หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินเข้าบัญชี จำเลยที่ ๑ และเบิกเงินด้วยเช็คตลอดมา คำพยานบุคคลโจทก์สอดคล้องกัน พิเคราะห์คำขอเปิดบัญชีเดินสะพัด เอกสารหมาย จ.๗ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ขอเปิดบัญชีให้จำเลยที่ ๑ และมีข้อความในข้อ ๑๑ ว่า “เงื่อนไขในการสั่งจ่าย นายสมเกียรติ จิตติพลังศรี (จำเลยที่ ๒) เป็นผู้เซ็นสั่งจ่ายพร้อมประทับตรา” นอกจากนั้นรายงานการประชุมของบริษัทจำเลยที่ ๑ ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๒ เอกสารหมาย จ.๘ ปรากฏใจความผลการประชุมวาระที่ ๓ ว่า ที่ประชุมมีมติให้นายสมเกียรติ จิตติพลังศรี (จำเลยที่ ๒) กรรมการผู้จัดการเป็นผู้ไปติดต่อเปิดบัญชีกระแสรายวันกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาปากเกร็ด โดยมีเงื่อนไขในการสั่งต่อไปนี้ “๑. นายสมเกียรติ จิตติพลังศรี ลงลายมือชื่อแต่ผู้เดียว หรือ ๒. นายประสงค์ จิตติพลังศรี และนางกฤษณา พัวศิริ ลงลายมือชื่อร่วมกันพร้อมทั้งประทับตราของบริษัท นอกจากนี้นายสมเกียรติ จิตติพลังศรี เป็นผู้มีอำนาจในการติดต่อขอเปิดสินเชื่อในรูปต่าง ๆ ทุกรูปในนามบริษัทฯ ได้โดยลำพัง” เอกสารหมาย จ.๗, จ.๘ แสดงถึงการที่บริษัทจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ กรรมการจำเลยที่ ๑ ผู้เดียวมีอำนาจกระทำการสั่งจ่ายเช็คหรือขอเปิดสินเชื่อทุกประเภทในนามจำเลยที่ ๑ โดยไม่คำนึงถึงกรรมการซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ เอกสารหมาย จ.๖ ว่าจะต้องมีนายประสงค์ จิตติพลังศรี กับกรรมการอีก ๑ นาย ลงชื่อพร้อมประทับตราสำคัญจำเลยที่ ๑ ด้วย ปรากฏต่อมาว่าในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ หลังจากที่จำเลยที่ ๑ มีมติในที่ประชุมตามเอกสารหมาย จ.๘ เพียง ๓ วัน จำเลยที่ ๒ ในนามจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารหมาย จ.๙ ตามฟ้องต่อธนาคารโจทก์สาขาปากเกร็ด และวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๒๓ ก็ได้ทำหนังสือให้ความยินยอมเอกสารหมาย จ.๑๑ ยอมให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ ๑๕ เป็นร้อยละ ๑๘ ต่อปี ทั้งปรากฏตามรายการบัญชีกระแสรายวัน (สเตทเมนท์) เอกสารหมาย จ.๑๒ ว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๒๒ จนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้นำเงินฝากเข้าบัญชีและถอนเงินตลอดมา จนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามบัญชีกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.๑๒ จำนวน ๓๔๑,๓๐๒.๐๗ บาท ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทักท้วงโจทก์ถึงรายการบัญชีการเงินก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด คำพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อว่า จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ เชิดตัวเองเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้อง อันเจือสมกับข้อความในรายงานการประชุมเอกสารหมาย จ.๘ ก่อนหน้าวันทำสัญญากู้เพียง ๓ วันที่ว่า “…ที่ประชุมยังมีมติให้นายสมเกียรติ จิตติพลังศรี (จำเลยที่ ๒) เป็นผู้มีอำนาจในการติดต่อขอเปิดสินเชื่อในรูปต่าง ๆ ทุกรูปในนามบริษัท ฯ ได้โดยลำพัง” จำเลยที่ ๑ จึงต้องผูกพันรับผิด ในการที่จำเลยที่ ๒ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารหมาย จ.๙ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑ เมื่อโจทก์มีพยานยืนยันว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๑๒ จำนวน ๓๕๐,๒๒๒.๖๗ บาท จนถึงวันฟ้องพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ของต้นเงินจำนวน ๓๔๑,๓๐๒.๐๗ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ก็ต้องร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.๑๑ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ ส่วนข้อที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้จำเลยทั้งสองเข้าใจว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำการเบิกจ่ายเงินเกินบัญชีตั้งแต่เมื่อใดนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายข้อหาในคำฟ้องเกี่ยวกับการเบิกเงินเกินบัญชีและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ บริบูรณ์แล้ว ข้อที่จำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชีตั้งแต่เมื่อไร จำนวนแต่ละครั้งเท่าใดนั้น โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินโจทก์ตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ ๒,๐๐๐ บาท

Share