แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้หนังสือเลิกจ้างโจทก์จะมิได้ระบุสาเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้โดยตรงว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงาน ติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อความในหนังสือทั้งหมดที่มีใจความว่า ว. กรรมการบริษัทจำเลยนายจ้างขอให้โจทก์ไปพบเกี่ยวกับงานของโจทก์ในวันที่ 15 ตุลาคม 2529โจทก์ไม่ติดต่อกับ ว. และไม่ได้ไปที่สำนักงานหลีกเลี่ยงไม่เข้ารับหน้าที่และไม่มีการติดต่อจากโจทก์อีกจนถึงวันที่ 21 ตุลาคม และหลังจากนั้นบริษัทจำเลยจึง เลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่31 ตุลาคม 2529 ดังนี้ย่อมสามารถเข้าใจได้แล้วว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุใด อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวจะถือว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ได้จึงฟังไม่ขึ้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 30,000 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหาย อันเกิดจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าเสียหายที่เสื่อมเสียชื่อเสียงของโจทก์ ค่าจ้างค้างชำระ1 เดือน ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์จ่ายไปและที่โจทก์จะต้องเสียจนถึงสิ้นสุดระยะเวลาการจ้าง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน ค่าโดยสารเครื่องบินระหว่างกรุงเทพมหานครไปกรุงแคนเบอร์รา กับให้จำเลยออกใบสำคัญการจ้างให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์มิได้ปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลย นอกจากนี้โจทก์ยังขาดงานเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 15ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2529 โดยมิได้แจ้งเหตุให้จำเลยทราบ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 29 ตุลาคม 2529 โดยจำเลยไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ แก่โจทก์และมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ทำงานมาไม่ครบ 12 เดือน ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยไม่เคยตกลงจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นจำเลยจ่ายให้โจทก์ไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าโดยสารเครื่องบินเพราะถูกเลิกจ้างก่อนครบระยะเวลาการจ้าง ในการที่โจทก์ไปต่างประเทศนั้นจำเลยได้ออกเงินทดรองจ่ายให้โจทก์ 7,845 บาท ค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรม รวมทั้งสิ้น50,000 บาท โจทก์ไม่ได้ทำงานให้จำเลยตามคำสั่งและมิได้หักเงินทดรองจ่ายจึงฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระเงิน 50,000 บาท แก่จำเลยที่ 1
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ถ่ายรูปและเขียนบทความให้จำเลยตามคำสั่งแล้ว แต่จำเลยไม่ต้องการงานของโจทก์ ระหว่างที่โจทก์ป่วยนางวีณา กรรมการของจำเลยแจ้งโจทก์ว่ายังไม่ต้องไปทำงานจนกว่าจะหาย ต่อมาวันที่ 30ตุลาคม 2529 โจทก์ได้รับหนังสือเลิกจ้าง เงินที่โจทก์เบิกทดรองไปโจทก์ใช้จ่ายไปในการปฏิบัติหน้าที่และยังไม่ได้คืนเพียง 92.18 เหรียญสหรัฐ ส่วนค่าเครื่องบินและค่าโรงแรมนั้นจำเลยไม่ได้จ่ายให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การหยุดงานของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 21 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2529 เป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร การเลิกจ้างโจทก์ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและจำเลยเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย จำเลยต้องชำระค่าจางค้างจ่ายแก่โจทก์ 5,570 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ สำหรับฟ้องแย้งโจทก์ต้องคืนเงินทดรองจ่ายแก่จำเลยเป็นเงิน 2,411.03 บาท เมื่อหักจากเงินที่จำเลยต้องจ่ายแก่โจทก์แล้ว โจทก์คงมีสิทธิได้รับ 3,158.97 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดและจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดด้วยแต่ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 3,158.97 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ให้จำเลยทั้งสองออกใบสำคัญการจ้างแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์อุทธรณ์ว่าตามหนังสือเลิกจ้าง จำเลยที่ 1 มิได้ระบุสาเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จะถือว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างเพราะโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันติดต่อกันไม่ได้ พิเคราะห์แล้ว ตามหนังสือเลิกจ้างแม้ไม่ได้ระบุสาเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้โดยตรงว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ข้อความทั้งหมดประกอบกันก็สามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุใดดังจะเห็นได้จากข้อความที่ว่า “อ้างถึงการสนทนาของคุณเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งนางวีณาได้ขอให้คุณไปพบเธอเกี่ยวกับงานของคุณซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในวันที่ 15 ตุลาคม 2529 คุณเจตนาที่จะไม่ติดต่อกับนางวีณา และไม่ได้ไปที่สำนักงานด้วย คุณพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้มีการเข้ารับหน้าที่ และการมอบหมายงานอย่างราบรื่นด้วยวิธีนี้
นอกจากนั้นไม่มีการติดต่อจากคุณอีกเลยจนกระทั่งถึงวันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งเราส่งพนักงานรับส่งเอกสารของเราไปรวบรวมทรัพย์สินต่าง ๆ ของบริษัทที่คุณนำไปจากสำนักงาน ต้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาคุณไม่ได้พยายามที่จะโทรศัพท์ถึงเราหรือติดต่อกับเราเลย แม้ว่าที่จริงแล้วนางวีณาบอกให้คุณทำเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา ฯลฯ
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ณ ที่นี้ผมขอบอกเลิกการทำงานของคุณจากบริษัทนี้โดยให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 31 ตุลาคม 2529”
หนังสือเลิกจ้าง ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2529 จากหนังสือฉบับนี้จึงได้ความว่าโจทก์ไม่ได้ทำงานนับแต่วันใดถึงวันใด มีเหตุประการใดหรือไม่ และจำเลยที่ 1เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุใด ทั้งนี้ โดยศาลฎีกามิพักต้องอธิบายประการใดอีก อุทธรณ์โจทก์ส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ในอุทธรณ์ข้อนี้โจทก์ยกคำเบิกความของนางวีณาอูเบรอย ขึ้นอ้างอิงและชี้ให้ศาลเห็นว่าคำเบิกความของนางวีณา อูเบรอย หมายความว่ากระไร ข้อนี้ เห็นว่า เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 55 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 3 ก. ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ยังค้างชำระค่าจ้างเดือนตุลาคม 2529 แก่โจทก์ 30,000 บาท จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ความข้อนี้แต่ประการใด ชอบที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวนนี้แก่โจทก์ พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้ไว้ในคำฟ้องข้อ 4.3 จำเลยให้การต่อสู้เรื่อง ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ฯลฯหาได้ต่อสู้เรื่องค่าจ้างค้างจ่ายสำหรับเดือนตุลาคม 2529 จำนวน 30,000 บาทแต่ประการใดไม่ คำให้การของจำเลยจึงไม่เป็นการปฏิเสธ ตามกระบวนความต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าค้างชำระค่าจ้างจำนวนนี้จริง คำฟ้องเรียกร้องเงินจำนวนนี้หาเป็นประเด็นข้อพิพาทไม่ โจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างส่วนนี้ตามคำฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 3 ก. ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าจ้างค้างจ่ายสำหรับเดือนตุลาคม 2529 จำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง