คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7583/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่อาศัยอยู่ห่างห้องพิพาทไปประมาณ200เมตรการที่โจทก์ยอมให้ม.บุตรสาวโจทก์พร้อมทั้งสามีและบุตรของม.ซึ่งไม่มีที่อยู่ที่อื่นเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทและแจ้งชื่อทั้งหมดเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านห้องพิพาทฟังได้ว่าเป็นการเข้าอยู่อาศัยในห้องพิพาทหาใช่เพียงเป็นผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาห้องพิพาทให้โจทก์ไม่จึงไม่ได้รับงดเว้นการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา10ที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2475มาตรา3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องเลขที่ 9/1 ให้บุตรดูแลทรัพย์โดยมิได้ทำการค้าหรือใช้เก็บสินค้าใด ๆกลางคืนนอนเฝ้า กลางวันไปทำงานนอกบ้าน และเวลากลางวันโจทก์เข้าไปดูแลเองทุกวัน ย่อมได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินโจทก์ได้รับใบแจ้งคำชี้ขาดตามมาตรา 30 ให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับห้องเลขที่ 9/1 เป็นเงิน 750 บาทโจทก์จึงนำเงินไปชำระตามคำชี้ขาด การที่จำเลยเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับตึกแถวเลขที่ 9/1 ย่อมไม่มีอำนาจกระทำได้ตามกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเงิน 750 บาท
จำเลยให้การว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินให้โจทก์ต้องชำระค่าภาษีโรงเรือนสำหรับห้องเลขที่ 9/1เป็นเงิน 750 บาท นั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันต่อศาลภาษีอากรกลางว่า โจทก์ได้ยื่นแบบรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี2537 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินค่ารายปีห้องพิพาทเป็นเงิน 6,000 บาทค่าภาษี 750 บาท โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 10พฤษภาคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ คณะเทศมนตรีของจำเลยพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับห้องพิพาทตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมิน โจทก์ได้ชำระภาษีดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันนางมณีวรรณ ภุมรินทร์บุตรสาวโจทก์และครอบครัวอาศัยอยู่ในห้องพิพาท โดยมีชื่อนายเสนาะ ภุมรินทร์ สามีของนางมณีวรรณเป็นเจ้าของบ้านนางมณีวรรณ และเด็กชายกุลวรรธน์ ภุมรินทร์ เป็นผู้อาศัยตามทะเบียนบ้านเอกสารที่จำเลยส่งศาลแผ่นที่ 12 ในห้องพิพาทให้ใช้เป็นที่เก็บทรัพย์สินบางอย่างของโจทก์ โจทก์ได้ไปหานางมณีวรรณและช่วยดูแลบ้านในขณะที่นางมณีวรรณไม่อยู่ในเวลากลางวันเป็นประจำ ส่วนโรงเรียนที่โจทก์และครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่อาศัยอยู่ห่างห้องพิพาทไปประมาณ 200 เมตร
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับห้องพิพาทหรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์ยอมให้นางมณีวรรณบุตรสาวและครอบครัวเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทโดยการแจ้งย้ายทะเบียนบ้านเข้าไปอยู่ในห้องพิพาททั้งสามีและบุตรด้วย แสดงให้เห็นว่านางมณีวรรณและครอบครัวไม่มีที่อยู่อาศัยอื่น เพราะมิฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องย้ายทะเบียนบ้านทั้งครอบครัวไปอยู่ในห้องพิพาททั้งหมด หากนางมณีวรรณและครอบครัวไม่มีที่อยู่อาศัยอื่น เพราะมิฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องย้ายทะเบียนบ้านทั้งครอบครัวไปอยู่ในห้องพิพาททั้งหมดหากนางมณีวรรณเป็นเพียงผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาห้องพิพาทให้โจทก์และจะปฎิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร์ตามที่โจทก์อุทธรณ์แล้ว ก็เพียงแต่แจ้งย้ายชื่อนางมณีวรรณออกมาจากที่อยู่อาศัยเดิมและนำชื่อมาใส่ไว้ในทะเบียนบ้านห้องพิพาทเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วการที่นางมณีวรรณพร้อมทั้งสามีและบุตรเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทและแจ้งชื่อทั้งหมดเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านห้องพิพาทฟังได้ว่าเป็นการเข้าอยู่อาศัยในห้องพิพาท หาใช่เพียงเป็นผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาห้องพิพาทให้โจทก์ไม่ การที่โจทก์ให้บุตรสาวและครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัยในห้องพิพาท จึงไม่ได้รับงดเว้นการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 10 ที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2475มาตรา 3
พิพากษายืน

Share