คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5397/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมที่จะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงนำ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินอันเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด แต่ปรากฏว่าก่อนที่ จะมีการขายทอดตลาดได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดอีกคดีหนึ่ง ให้จำเลยคืนที่ดินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง และผู้ร้องยังได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียน จำนองที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆะซึ่งคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษา ให้ผู้ร้องชนะคดี ย่อมทำให้ผู้ร้องยากที่จะบังคับคดีได้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280(2) แล้ว การงด การบังคับคดีไว้ชั่วคราวคงทำให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ล่าช้าไปเท่านั้น แต่โจทก์ก็สามารถ บังคับเอาดอกเบี้ยได้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่งดการบังคับคดีไว้อาจ ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายได้ จึงสมควรให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง ไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคำพิพากษา ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องโจทก์และจำเลยที่ให้การจดทะเบียนจำนองเป็นโมฆะเสียก่อน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงิน 804,550.50 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 670,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง โดยผ่อนชำระเดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ให้เสร็จภายในเวลา 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบและจำเลยยอมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ 5,000 บาท ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 21247, 22336 และ 22337 ตำบลตะกาง อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และจำนองไว้กับโจทก์ออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2541 ได้เงิน 800,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นคดีหมายเลขแดงที่429/2539 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 ให้จำเลยคืนที่ดินทั้งสามแปลงแก่ผู้ร้องและต่อมาวันที่ 29 กันยายน 2540 ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์และจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 546/2540 ขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสามแปลงเป็นโมฆะ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อรอผลคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 546/2540 ของศาลชั้นต้น
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ระงับการจ่ายเงินจากการขายทอดตลาด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสอบถามผู้ร้องและโจทก์ ผู้ร้องและโจทก์แถลงรับกันในข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นจึงงดไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องจะขอให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้ไว้ก่อนได้หรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยคืนที่ดินอันเป็นทรัพย์จำนองแก่ผู้ร้องก่อนที่จะได้มีการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว อีกทั้งผู้ร้องยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยในคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆะในคดีหมายเลขดำที่ 546/2540 คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น หากคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี ย่อมทำให้ผู้ร้องยากที่จะบังคับคดีได้ ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280(2) แล้ว อนึ่ง เมื่อพิเคราะห์ทางได้เสียของโจทก์และผู้ร้องแล้ว เห็นว่า ในกรณีงดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวคงทำให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ล่าช้าไปเท่านั้น แต่โจทก์ก็สามารถบังคับเอาดอกเบี้ยได้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่งดการบังคับคดีไว้อาจทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้ไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 546/2540 ของศาลชั้นต้น

Share