คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่สัญญากู้ยืมเงินตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระเป็นเวลาหนึ่งปีทบเข้ากับต้นเงินแล้ว ให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรก มิได้บังคับว่าต้องกระทำเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระครบหนึ่งปีแล้วเท่านั้น ดังนั้นแม้จะตกลงกันไว้ตั้งแต่ขณะทำสัญญาข้อตกลงนี้ก็ไม่เป็นโมฆะ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไปเป็นเงิน240,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน ถ้าผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเป็นเวลาถึงหนึ่งปียอมให้ทบดอกเบี้ยที่ค้างเข้ากับต้นเงินในวันที่ค้างครบหนึ่งปีนั้น จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ต้นเงิน 361,985.16 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ต้นเงิน 278,262.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์หนังสือสัญญากู้เงินข้อ 3 วรรคแรกมีข้อความด้วยว่า ผู้กู้ยอมชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันสิ้นเดือน ถ้าผิดนัดชำระดอกเบี้ยเป็นเวลาหนึ่งปี ผู้กู้ยอมให้ทบดอกเบี้ยที่ค้างชำระเข้ากับต้นเงินในวันที่ครบกำหนดหนึ่งปีนั้น และผู้กู้ยอมให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นข้อตกลงก่อนที่จะมีการค้างชำระดอกเบี้ย จึงตกเป็นโมฆะ และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้หนี้โจทก์ไม่เต็มตามฟ้อง มีปัญหาตามฎีกาโจทก์เพียงว่า ข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรกหรือไม่ แล้ววินิจฉัยในปัญหานี้ว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 วรรคแรกบัญญัติว่า ‘ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ’ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญากู้ยืมเงินได้ตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระเป็นเวลาหนึ่งปี ทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ตามข้อยกเว้นของมาตรา 655วรรคแรกนั้น และข้อตกลงดังกล่าวกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าต้องกระทำเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระครบหนึ่งปีเท่านั้นดังนั้นข้อตกลงดังกล่าวหาเป็นโมฆะไม่ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้หนี้ให้โจทก์เต็มตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 361,985บาท 16 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย.

Share