แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกชำระหนี้และบังคับจำนองศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์ หากไม่ชำระให้นำที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินออกขายทอดตลาด โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนอง มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินก่อนเจ้าหนี้อื่น ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาคดีอื่นเป็นเพียงผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แต่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจะอ้างว่ามีสิทธิเหนือที่ดินที่โจทก์นำยึดมาร้องขอให้ศาลปล่อยทรัพย์ไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 3,174,028.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,972,661.84 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 สิงหาคม 2540) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่รวมทั้งทรัพย์สินจากกองมรดกของนายคำ หอมนาน นำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ทั้งนี้จำเลยที่ 4 รับผิดไม่เกินทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน กับให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำนอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยได้รับยกเว้นค่าขึ้นศาลกึ่งหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2543 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4741 – 4745 รวม 5 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นครึ่ง จำนวน 5 คูหา และอยู่ในระหว่างรอกำหนดวันประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4744 และ 4745 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นทรัพย์พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2573/2539 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2539 ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวคืนให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจากจำนอง ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดจึงเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์และปล่อยทรัพย์ดังกล่าวให้กับผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องมิได้รับโอนที่พิพาทและยังไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท ผู้ร้องเพียงแต่ฟ้องจำเลยที่ 1 มิได้ฟ้องโจทก์ซึ่งรับจำนองที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่พิพาทคืนแก่ผู้ร้องโดยปลอดจากจำนองไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความ ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4744 และ 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานในคดีแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางศรีวรณ์ ศรีสวัสดิ์ ตามคำสั่งศาลชั้นต้นและได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้จดทะเบียนโอนที่ดินจำนวน 5 แปลง ที่รับโอนจากนางศรีวรณ์คืนแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4744 และ 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินทั้งสองแปลงคืนแก่ผู้ร้อง และจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ในคดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกชำระหนี้กู้ยืมและบังคับจำนอง โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนอง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4741 – 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4741 – 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4744 และ 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย อ้างว่าทรัพย์ดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่เป็นของผู้ร้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องขอให้ปล่อยที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4744 และ 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงรายได้หรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของนางศรีวรณ์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้คืนที่ดินจำนวน 5 แปลง ที่รับโอนจากนางศรีวรณ์แก่ผู้ร้อง แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4744 และ 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย คืนแก่ผู้ร้อง โดยปลอดจากจำนอง แต่ตราบใดที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ไถ่ถอนจำนอง จำนองย่อมติดอยู่กับที่ดินทั้งสองแปลงนี้ และโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ผู้มีทรัพย์จำนองเป็นประกันย่อมมีอำนาจบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินที่รับจำนองไว้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288 และ 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย” การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกให้ชำระหนี้และบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับพวกชำระหนี้โจทก์ หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ แต่จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4744 และ 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย เพื่อนำออกขายทอดตลาด โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนอง มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ก่อนเจ้าหนี้อื่น ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาคดีอื่นเป็นเพียงผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แต่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจะอ้างว่ามีสิทธิเหนือทรัพย์ที่โจทก์นำยึดมาร้องขอให้ศาลปล่อยทรัพย์เพราะกระทบสิทธิของผู้ร้องย่อมไม่อาจกระทำได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้ถอนการยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ที่ 4744 และ 4745 ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ