แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีก่อนที่กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติการชำระหนี้ตามลำดับ กล่าวคือ โจทก์ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจำเลยก่อน หากคืนไม่ได้จึงจะใช้ราคาแทน ไม่ใช่การอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่างอันโจทก์จะพึงเลือกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 198 แต่การที่โจทก์ชำระเงินตามจำนวนหนี้ที่โจทก์ต้องใช้ราคาแทนในกรณีที่ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนได้ร่วมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่จำเลยจนครบถ้วน แล้วจำเลยรับไว้โดยไม่โต้แย้งคัดค้านแสดงว่าจำเลยได้สละสิทธิที่จะบังคับคดีในหนี้ลำดับแรกแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องไปดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในรถยนต์ที่เช่าซื้อและส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ การที่จำเลยไม่ไปดำเนินการดังกล่าวถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยฟ้องโจทก์กับผู้ค้ำประกันโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับผู้ค้ำประกันโจทก์ร่วมกันส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8 อ – 7890 กรุงเทพมหานคร ที่เช่าซื้อคืนจำเลย หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 200,000 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7955/2543 ของศาลชั้นต้น จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 17,760 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 1,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือชดใช้ราคาแทนเสร็จสิ้นแต่ทั้งนี้ไม่เกิน 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2546 จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกัน ครั้นวันที่ 9 กรกฎาคม 2546 โจทก์นำเงินไปวางเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษาและขอถอนการยึด เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้วจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตอบแทนแก่โจทก์ โดยต้องจดทะเบียนโอนสิทธิในรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8 อ – 7890 กรุงเทพมหานคร พร้อมส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากไม่สามารถใช้รถยนต์ได้เป็นเงินวันละ 200 บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 48,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8 อ – 7890 กรุงเทพมหานคร และส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 48,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิและส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การที่ศาลพิพากษาให้โจทก์กับพวกส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจำเลย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนนั้น เป็นการกำหนดให้โจทก์กระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ มิใช่การอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่างที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้พึงเลือกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 โจทก์จะต้องนำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาคืนจำเลยก่อน หากไม่สามารถคืนได้ก็ต้องใช้ราคาแทน การที่โจทก์ใช้ราคาแทนโดยไม่คืนรถยนต์ถือว่าเป็นการชำระหนี้ไม่ถูกต้องครบถ้วน และถือว่ารถยนต์คันดังกล่าวยังเป็นของจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการโอนสิทธิในรถยนต์ที่เช่าซื้อและส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาโดยสรุปว่า จำเลยเป็นฝ่ายกำหนดให้โจทก์ชำระราคาแทนการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน เมื่อโจทก์ชำระราคาให้จำเลยครบถ้วนแล้ว การชำระหนี้โดยการส่งมอบรถยนต์คืนจึงระงับสิ้นไป จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องโอนสิทธิในรถยนต์ที่เช่าซื้อและส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ เห็นว่า แม้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7955/2543 ของศาลชั้นต้นกำหนด ให้โจทก์ปฏิบัติการชำระหนี้ตามลำดับ กล่าวคือ โจทก์ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจำเลยก่อน หากคืนไม่ได้จึงจะใช้ราคาแทน ไม่ใช่การอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่างอันโจทก์จะพึงเลือกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ชำระเงินตามจำนวนหนี้ที่โจทก์ต้องใช้ราคาแทนในกรณีที่ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนได้รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่จำเลยจนครบถ้วน แล้วจำเลยรับไว้โดยไม่โต้แย้งคัดค้านตามเอกสารหมาย จ.1 แสดงว่าจำเลยได้สละสิทธิที่จะบังคับคดีในหนี้ลำดับแรกแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องไปดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในรถยนต์ที่เช่าซื้อและส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ การที่จำเลยไม่ไปดำเนินการดังกล่าวถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น และเมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้สืบพยานและวินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหายจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานและวินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานและวินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่