แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างส่งสำเนาเอกสารของราชการที่ไม่มีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของเอกสารดังกล่าว โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าสำเนาโฉนดที่ดินเป็นของจำเลยที่ 2 เอกสารแสดงรายการที่จำเลยทั้งสองกับพวกถูกฟ้องคดีต่อศาล จำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าถูกฟ้องคดีดังกล่าวจริง ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการตกลงรับรองความถูกต้องแห่งเอกสารดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องส่งต้นฉบับเอกสารที่มีคำรับรองอีกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 7253/2544 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 5,070,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ขอให้ศาลแพ่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวคิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์จำนวน 6,478,112 บาท ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามฟ้องจริง แต่จำเลยทั้งสองมิได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวรวมทั้งไม่มีพฤติการณ์ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินได้แก่ อาคารที่ก่อสร้างเสร็จบริบูรณ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7192 กับอาคารที่ก่อสร้างเสร็จบางส่วนเกินกว่าร้อยละ 80 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7186 แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร รวมราคา 33,800,000 บาท ซึ่งจำนองไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ยังมีอาคารและที่ดินที่ถือกรรมสิทธิ์รวมกับบุคคลอื่นอีก ราคาทรัพย์ดังกล่าวเกินกว่าหนี้สินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองเฉพาะค่าทนายความ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 7253/2544 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 5,070,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คิดถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 6,478,112 บาท เป็นหนี้อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 1 และไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์นำสืบว่าสืบหาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แล้วไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กับจำเลยที่ 1 ได้ปิดกิจการแล้ว จำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ก็เบิกความยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ปิดกิจการแล้ว ดังนี้ กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (4) (5) ว่าจำเลยที่ 1 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์นำสืบว่าได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 9 แปลง ตามเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.16 แต่ที่ดินดังกล่าวติดจำนองกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลและบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน ซึ่งกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกและศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองกับพวกชำระเงินจำนวน 113,852, 328.70 บาท แก่กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินตามเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.16 และที่ดินแปลงอื่นของพวกจำเลยพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด ดังนี้ เฉพาะที่ดินของจำเลยที่ 2 จำนวน 9 แปลงดังกล่าวซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา กับอาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวตามโครงการชื่อบางลำพูโฮมทาวน์เพียง 15 แปลง ที่ปลูกสร้างอาคารแล้วซึ่งก็ได้ความว่ามีเพียงบางส่วนที่ก่อสร้างไปได้ประมาณร้อยละ 80 แต่รวมความแล้วอาคารยังก่อสร้างไม่เสร็จไม่น่าจะมีราคาพอชำระหนี้จำนองแก่กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลและหนี้ของโจทก์ได้ ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ได้มีการเจรจาขอซื้อหนี้รายนี้ในราคา 41,000,000 บาท มีการวางมัดจำจำนวน 2,000,000 บาท แล้วนั้น เห็นว่า เอกสารหมาย ล.14 เป็นเพียงคำขอเสนอซื้อหนี้คืนเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าฝ่ายกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลเจ้าหนี้ได้ตอบตกลงยอมรับข้อเสนอนี้ การวางเงินจำนวน 2,000,000 บาท ก็เป็นการวางเงินตามข้อเสนอของฝ่ายจำเลยทั้งสองเองตามที่ระบุในคำขอ ทั้งตามคำขอเสนอซื้อหนี้คืนก็ระบุว่าจะชำระหนี้ 39,000,000 บาท ให้เสร็จภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2545 แต่ขณะที่จำเลยที่ 2 มาให้ถ้อยคำในวันที่ 27 มีนาคม 2546 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้แสดงหลักฐานว่ามีการชำระหนี้ตามข้อเสนอดังกล่าวกลับปรากฏว่าในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 ภายหลังครบกำหนดตามหนังสือขอเสนอซื้อหนี้คืน ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองกับพวกชำระหนี้แก่กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลตามเอกสารหมาย จ.40 ดังนี้แสดงว่ากองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลมิได้ตกลงตามข้อเสนอขอซื้อหนี้คืนดังกล่าว ส่วนที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5820 และ 5821 ตำบลปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1 งาน 74 ตารางวา และ 1 งาน 67 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.12 และ ล.13 และที่ดินโฉนดเลขที่ 8683 ตำบลบุคคโล อำเภอธนบุรี กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 งาน 96 ตารางวา ที่จำเลยที่ 2 มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับบุคคลอื่นอีก 3 คน ตามเอกสารหมาย ล.7 จำเลยที่ 2 ไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาประเมินเท่าใด กลับปรากฏว่าที่ดินทั้งสามแปลง ติดจำนองธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) อีกด้วย จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่ามีราคาพอชำระหนี้แก่โจทก์ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน จำเลยที่ 2 จึงมีหนี้สินล้นพ้นตัว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานเอกสารทางราชการที่โจทก์อ้างส่งโดยไม่มีเจ้าพนักงานรับรองเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ประกอบมาตรา 86 วรรคหนึ่ง นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะอ้างส่งสำเนาเอกสารของราชการที่ไม่มีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธความถูกต้องของเอกสารดังกล่าว โดยเฉพาะสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.16 จำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าเป็นสำเนาโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 เอกสารแสดงรายการที่จำเลยทั้งสองกับพวกถูกฟ้องคดีต่อศาล จำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าถูกฟ้องคดีดังกล่าวจริง ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการตกลงรับรองความถูกต้องแห่งเอกสารดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องส่งต้นฉบับเอกสารที่มีคำรับรองอีกตามมาตรา 93 (1) ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวจึงชอบแล้ว ประกอบกับศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2544 ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้แก่โจทก์ กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ