แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ ถ้าปรากฏว่าบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยยินยอมรื้อถอนบ้านออกไปและยอมชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องให้โจทก์ หากบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของกรมชลประทานโจทก์จะถอนฟ้อง คู่ความตกลงกันด้วยว่าให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นยุติ คำท้าดังกล่าวมีความหมายว่า หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าบ้านของจำเลยแม้เพียงบางส่วนปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านเฉพาะส่วนที่ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไปซึ่งเท่ากับว่าจำเลยชนะคดีบางส่วนคือไม่ต้องรื้อถอนออกไปทั้งหมดทั้งหลังตามคำขอของโจทก์ เมื่อตามแผนที่พิพาทปรากฏว่าบ้านของจำเลยส่วนใหญ่ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ ถือได้ว่าตรงกับคำท้าของโจทก์และจำเลยแล้ว ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาคดีไปได้เลยโดยไม่จำต้องสืบพยานคู่ความอีกต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 74 ตำบลสามง่ามท่าโบสถ์ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ตั้งแต่ปี 2518 จำเลยเช่าที่ดินกว้าง 6 วา ยาว 8 วา ของที่ดินดังกล่าวเพื่อปลูกบ้านสองชั้นเลขที่ 139 และได้ต่อสัญญาเช่าเรื่อยมาจนถึงปี 2539 แล้วจำเลยไม่ต่อสัญญาเช่า โดยอ้างว่าเป็นที่สาธารณะซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิ โจทก์จึงมีหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินดังกล่าว จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 139 หมู่ที่ 3 ตำบลสามง่ามท่าโบสถ์ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท และสิ่งปลูกสร้างอื่นของจำเลยและบริวารออกจากที่ดิน น.ส.3 ก. ของโจทก์ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 40,000 บาท และค่าขาดประโยชน์เดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าที่ดินโจทก์ปลูกบ้านจริง โดยเข้าใจว่าที่ดินของโจทก์ ต่อมาทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของกรมชลประทาน (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่าโบสถ์ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท) ซึ่งบิดาโจทก์ออกเอกสารสิทธิทับที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านจึงไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาท และค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน โจทก์และจำเลยท้ากันว่า หากเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าจำเลยปลูกบ้านเลขที่ 139 อยู่ในที่ดินดังกล่าว จำเลยยอมแพ้ แต่หากบ้านดังกล่าวปลูกอยู่ในที่ดินของกรมชลประทาน โจทก์ยอมแพ้ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นยุติ ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อมเพื่อตรวจสอบแผนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งศาล จำเลยแถลงว่าแผนที่พิพาทไม่มีเจ้าหน้าที่กรมชลประทานเป็นผู้ระวังแนวเขต จำเลยจะขอสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คู่ความตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินโดยให้ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นยุติ เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทมาแล้ว และโจทก์แถลงไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหาย จึงไม่ต้องสืบพยานต่อไป ให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 139 หมู่ที่ 3 ตำบลสามง่ามท่าโบสถ์ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท และสิ่งปลูกสร้างอื่นของจำเลย พร้อมให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 74 ตำบลสามง่ามท่าโบสถ์ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ของโจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยทั้งหลังออกจากที่ดินของโจทก์เป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากตามแผนที่พิพาทบ้านของจำเลยปลูกรุกล้ำอยู่ในที่ดินของโจทก์เพียงบางส่วนเท่านั้น สำหรับบ้านอีกส่วนหนึ่งปลูกอยู่ในเขตที่ดินของกรมชลประทาน แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 74 ตำบลสามง่ามท่าโบสถ์ อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท คำพิพากษาดังกล่าวบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านเฉพาะส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์เท่านั้น มิได้บังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านทั้งหลัง คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ตามแผนที่พิพาทตรงกับคำท้าของคู่ความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามแผนที่พิพาทบ้านของจำเลยบางส่วนปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์อีกส่วนหนึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของกรมชลประทาน ตามคำท้าไม่ได้ตกลงกันว่าแม้บ้านของจำเลยไม่ได้ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งหลัง จำเลยจะต้องแพ้คดียินยอมรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ คำท้าของโจทก์และจำเลยจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับคู่ความได้นั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ ถ้าปรากฏว่าบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยยินยอมรื้อถอนบ้านออกไปและยอมชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องให้โจทก์ หากบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของกรมชลประทานโจทก์จะถอนฟ้อง คู่ความตกลงกันด้วยว่าให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นที่ยุติคำท้าดังกล่าวมีความหมายว่า หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าบ้านของจำเลยแม้เพียงบางส่วนปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านเฉพาะส่วนที่ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไปซึ่งเท่ากับว่าจำเลยชนะคดีบางส่วนคือไม่ต้องรื้อถอนออกไปหมดทั้งหลังตามคำขอของโจทก์ เมื่อตามแผนที่พิพาทปรากฏว่าบ้านของจำเลยส่วนใหญ่ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ ถือได้ว่าตรงกับคำท้าของโจทก์และจำเลยดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาคดีไปได้เลยโดยไม่จำต้องสืบพยานคู่ความอีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินโจทก์นั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความ 1,000 บาท แทนโจทก์