คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5393/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ได้ บัญญัติ เกี่ยวกับ การ รับฟัง ข้อเท็จจริง ของ คดีแพ่ง ที่ เกี่ยวเนื่อง กับ คดีอาญา ไว้ อย่าง ชัดแจ้ง ว่า ใน คดีแพ่ง ที่ เกี่ยวเนื่อง กับ คดีอาญา ศาล ต้อง ถือ ข้อเท็จจริง ตาม ที่ ปรากฏ ใน คำพิพากษา คดี ส่วน อาญา และ คำพิพากษา คดี ส่วน อาญา นั้น จะ ต้อง วินิจฉัย ข้อเท็จจริง เป็น ยุติ ประการใด แล้ว จึง จะ ให้ คดี ส่วน แพ่ง ต้อง ถือ ข้อเท็จจริง ตาม นั้น ได้ คดี นี้ คำพิพากษา ศาลฎีกา ใน คดี ส่วน อาญา ยัง มิได้ ฟัง ข้อเท็จจริง เป็น ยุติ เพียงพอ ที่ จะ ถือ มา เป็น ข้อ วินิจฉัย ใน คดี ส่วน แพ่ง ได้ แต่ โจทก์ จำเลย ต่าง แถลง ไม่ติดใจ สืบพยาน และ ขอให้ ศาล ฟัง ข้อเท็จจริง ตาม พยานหลักฐาน ใน คดีอาญา ศาล จึง นำ เอา ข้อเท็จจริง จาก พยานหลักฐาน ที่ โจทก์ จำเลย นำสืบ ใน คดีอาญา มา เป็น พยานหลักฐาน ใน คดี นี้ เพื่อ การ วินิจฉัย ข้อเท็จจริง ดัง ที่ คู่ความ แถลงรับ กัน ได้ โดย ไม่ ถือ ตาม ผล ใน คดีอาญา แต่ วินิจฉัย ข้อเท็จจริง โดย ชั่งน้ำหนัก พยานหลักฐาน ใน คดีอาญา วันเกิดเหตุ คือ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2531 ถึง วันที่ 13 พฤศจิกายน 2531 จำเลย ใช้ รถแทรกเตอร์ และ รถ แบคโฮ เข้า ไป ไถ ขุด ที่พิพาท ถือว่า จำเลย เข้า ไป แย่ง การ ครอบครอง ที่พิพาท นับแต่ วัน ดังกล่าว เมื่อ นับ ถึง วันที่ โจทก์ ฟ้อง คือ วันที่ 13 มกราคม 2532 จึง ยัง ไม่เกิน ระยะเวลา 1 ปี นับแต่ เวลา ถูก แย่ง การ ครอบครอง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง โจทก์ จึง ไม่ ขาด สิทธิ ฟ้องร้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามแผนที่ท้ายคำฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามากระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 15,640 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 13,000 บาท นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2531เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้เงินโจทก์เดือนละ 1,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะหยุดกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาททั้งแปลงโดยสงบเปิดเผย โจทก์ไม่เคยโต้แย้งการครอบครองของจำเลย และโจทก์ฟ้องคดีเกินกำหนดระยะเวลา 1 ปี ตามที่กฎหมายกำหนดขอให้ยกฟ้องโจทก์ ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงร่วมกันว่า ค่าเสียหายของโจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท กับไม่ติดใจสืบพยาน และขอให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในคดีอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารทำการใด ๆ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครอง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,000 บาทคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หมายเลขดำที่ 130/2532 หมายเลขแดงที่ 897/2533 ของศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานเพื่อรอฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเพื่อพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ซึ่งต่อมาคดีส่วนอาญาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่า โจทก์ จำเลย ต่างฝ่ายต่างนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของตนอันเป็นการโต้เถียงการครอบครองในที่พิพาทกันอยู่ว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทซึ่งควรจะได้ดำเนินการกันในทางแพ่งต่อไป การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาในการกระทำผิดในทางอาญาพิพากษายกฟ้อง ต่อมาวันที่ 24 พฤศจิกายน 2536 คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยาน โดยขอให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในคดีอาญา ศาลชั้นต้นเห็นว่าศาลฎีกามิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทและโจทก์ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ตามประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวไม่สืบพยาน จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3เห็นว่าการที่คู่ความต่างแถลงไม่สืบพยานนั้นด้วยวัตถุประสงค์ที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานที่นำสืบกันมาแล้วในสำนวนคดีอาญา ให้ศาลนำมาวินิจฉัยคดีโดยไม่ติดใจสืบพยานใด ๆ เพิ่มเติมในคดีนี้อีก ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและบังคับได้ตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนคดีส่วนอาญาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท พิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทโดยมิได้ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 หรือไม่นั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติว่า “ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา” ตามบทบัญญัติดังกล่าว ได้บัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริงของคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้นจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นยุติการใดแล้ว จึงจะให้คดีส่วนแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามนั้นได้ สำหรับคดีนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีส่วนอาญายังมิได้ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติเพียงพอที่จะถือมาเป็นข้อวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 แต่เมื่อโจทก์จำเลยต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน และขอให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในคดีอาญาดังนี้ศาลจึงนำเอาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบในคดีอาญามาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้เพื่อการวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังที่คู่ความแถลงรับกันได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยคดีโดยไม่ถือตามผลในคดีอาญา แต่วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีอาญาจึงชอบแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่พิพาทภายในเขตเส้นสีแดงเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ 2 งาน 55 ตารางวา ตามแผนที่พิพาท จำเลยกับพวกใช้รถแทรกเตอร์และรถแบคโฮเข้าไปไถขุด และค่าเสียหายของโจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันและสมเหตุผล ไม่มีข้อให้ระแวงว่าจะกลั่นแกล้งจำเลยให้ได้รับความเสียหายและพยานโจทก์ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารสอดคล้องต่างกันมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ดีกว่าพยานโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในระยะเวลา 1 ปีหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า วันเกิดเหตุคือวันที่ 7 พฤศจิกายน 2531 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2531 จำเลยใช้รถแทรกเตอร์และรถแบคโฮเข้าไปไถขุดที่พิพาท จึงถือว่า จำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองที่พิพาทนับแต่วันดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 13 มกราคม2532 จึงยังไม่เกินระยะเวลา 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง พิพากษายืน

Share