แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ อ. สามีโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทอันเป็นสินสมรสให้แก่จำเลย เป็นกรณีที่ อ. จัดการสินสมรสซึ่งโดยปกติต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1479 เมื่อ อ. จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทได้ภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำดังกล่าวหรือภายใน 10 ปี นับแต่วันจดทะเบียนขายฝาก เว้นแต่ขณะที่ทำนิติกรรมนั้นจำเลยได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนตาม มาตรา 1480
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอรุณ พิมพะสอน เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2541 นายอรุณสามีโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 85 ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และนายอรุณให้แก่จำเลย จำนวน 70,000 บาท มีกำหนด 3 เดือน โดยโจทก์มิได้ให้ความยินยอม และจำเลยทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอรุณ ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2543 โจทก์ทราบการกระทำดังกล่าวจึงมีหนังสือแจ้งขอให้เพิกถอนการขายฝากและโอนที่ดินคืนแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาเพิกถอนการขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 85 เลขที่ดิน 223 ตำบลโพนทอง อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างสามีโจทก์กับจำเลย และให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นชื่อโจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทราบและยินยอมให้นายอรุณนำที่ดินแปลงพิพาทจดทะเบียนขายฝากไว้แก่จำเลย โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันจดทะเบียนคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 85 เลขที่ดิน 223 ตำบลโพนทอง อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2541 ระหว่างนายอรุณ พิมพะสอน กับจำเลยให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท คำขออื่นขอให้ยก
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นภริยาของนายอรุณ พิมพะสอน เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2541 นายอรุณทำนิติกรรมจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอรุณให้แก่จำเลย มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายอรุณสามีโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทอันเป็นสินสมรสให้แก่จำเลย เป็นกรณีที่นายอรุณจัดการสินสมรสซึ่งโดยปกติต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1479 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอรุณจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้เรื่องการกระทำดังกล่าวหรือภายใน 10 ปี นับแต่วันจดทะเบียนขายฝาก เว้นแต่ขณะที่ทำนิติกรรมนั้น จำเลยได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 คดีมีปัญหาว่าจำเลยกระทำโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่าคดีโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทราบว่านายอรุณมีคู่สมรส และที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอรุณจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธในเรื่องนี้ ถือว่าจำเลยทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายอรุณตามฟ้อง ดังนั้น การที่จำเลยยังทำนิติกรรมขายฝากทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส จึงมิใช่เป็นการกระทำโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับนายอรุณได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ