คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 537/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยและผู้ตายต่างขับรถมาด้วยความประมาท ตามคำฟ้องของโจทก์ถือว่าผู้ตายมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ส. โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภรรยาของผู้ตาย จึงไม่มีอำนาจเข้ามาจัดการแทนผู้ตายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์เดิมได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ ส. เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 78, 157, 160
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาหลบหนีไปไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสมพร ภรรยาผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) (8), 78 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 78 วรรคหนึ่ง), 157, 160 วรรคสอง วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานหลบหนีไปไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำคุก 6 เดือน ความผิดฐานหลังนี้จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จริงรับฟังได้ จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80 – 7708 นนทบุรี ลากจูงรถพ่วงแปดล้อหมายเลขทะเบียน 80 – 7709 นนทบุรี ไปตามถนนสายอุทัย – ภาชี จากทางอำเภออุทัยมุ่งหน้าไปทางอำเภอภาชี เมื่อขับรถมาถึงที่เกิดเหตุทางแยกบ้านชายสิงห์ ก็เฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน รอ – 4363 กรุงเทพมหานคร ที่ผู้ตายขับรถทั้งสองคันตกลงไปที่ข้างถนนฝั่งขวามือของจำเลย รถที่จำเลยขับอัดทับรถที่ผู้ตายขับ รถที่จำเลยขับหันหัวรถไปทางอำเภอภาชี รถที่ผู้ตายขับหันหัวรถไปทางอำเภออุทัย จำเลยไม่สามารถขับรถต่อไปได้ รถที่ผู้ตายขับเสียหายยับเยินทั้งคัน ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ผู้ตายถึงแก่ความตายในรถที่ผู้ตายขับ หลังจากรถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันแล้วจำเลยหลบหนีไปทันที หลังเกิดเหตุจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สำหรับความผิดฐานหลบหนีไปไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำเลยให้การรับสารภาพต่อศาล ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยมีความผิดฐานดังกล่าว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรก จำเลยกระทำความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ คดีนี้หลังจากจำเลยขับรถชนแล้วจำเลยหลบหนีไปทันที จำเลยมีอาชีพขับรถบรรทุก ย่อมรู้ดีว่าถ้าผู้ตายขับรถออกจากปากทางแยกบ้านชายสิงห์ซึ่งเป็นทางเดินรถทางโท เลี้ยวขวาตัดหน้ารถที่จำเลยขับด้วยความเร็วที่ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในระยะกระชั้นชิด ผู้ตายเป็นฝ่ายประมาท จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท จำเลยย่อมไม่หลบหนีเป็นแน่แท้ การที่จำเลยหลบหนีไปทันทีที่เกิดเหตุเป็นพิรุธอย่างมาก เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าผู้ตายขับรถออกมาจากทางแยกบ้านชายสิงห์ดังกล่าวดังที่จำเลยนำสืบและฎีกา พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าผู้ตายมิได้ขับรถออกมาจากทางแยกบ้านชายสิงห์ตัดหน้ารถที่จำเลยขับ แต่ผู้ตายขับรถสวนทางกับรถที่จำเลยขับ โดยที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ในป้ายจำกัดความเร็ว เป็นการขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนกับรถที่ผู้ตายขับ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความประมาทโดยการขับด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ในป้ายจำกัดความเร็ว เมื่อจำเลยขับรถมาถึงสามแยกบ้านชายสิงห์จำเลยก็ยังคงขับรถมาด้วยความเร็วสูงโดยไม่ชะลอความเร็วให้ช้าลง จึงเฉี่ยวชนกับรถที่ผู้ตายขับออกมาจากทางแยกดังกล่าวด้วยความประมาทเช่นกัน แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาผู้ตายขับรถสวนทางกับจำเลย มิได้ขับรถออกมาจากทางแยกดังกล่าวแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้องอันจะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยรับฟังได้ ตามที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความประมาทโดยการขับด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ในป้ายจำกัดความเร็วดังที่ได้วินิจฉัยมามิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องแต่อย่างใด คงแตกต่างกันเฉพาะข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการขับรถของผู้ตายเท่านั้น ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยแตกต่างกันไปด้วย จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องยกฟ้อง
อนึ่ง คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยและผู้ตายต่างขับรถมาด้วยความประมาท ดังนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ถือว่าผู้ตายมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) นางสมพร โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภรรยาของผู้ตาย จึงไม่มีอำนาจเข้ามาจัดการแทนผู้ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์เดิมได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้นางสมพรเข้าร่วมเป็นโจทก์จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษายืน แต่ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางสมพร

Share