คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5366/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นภาษีอากรประเมินตามมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากร แต่การที่โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยใช้สิทธิขอคืนและได้รับไปก่อนการตรวจปฏิบัติการเพื่อคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเสร็จสิ้นไม่ใช่การประเมินให้จำเลยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่จำต้องออกหมายเรียกและมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
1/1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 7,916,308.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 7,366,823.93 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อหนังสือค้ำประกันสิ้นผลผูกพันเพราะสิ้นกำหนดเวลา แล้วจำเลยไม่นำหลักประกันใหม่มาแทน โจทก์จึงมีหนังสือขอเชิญจำเลยมาพบเพื่อขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบกิจการเพื่อพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมให้ส่งรายงานภาษีซื้อและภาษีขายพร้อมใบกำกับภาษีและเอกสารอื่น แต่จำเลยไม่ยอมไปพบและไม่ส่งเอกสาร จึงถือว่าจำเลยไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อ จำเลยไม่อาจนำภาษีซื้อมาหักจากภาษีขายเพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษี โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกและแจ้งการประเมินก่อน เห็นว่า แม้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นภาษีอากรประเมินตามมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากร แต่การที่จำเลยใช้สิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และขอรับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืนไปก่อน โดยวางหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ซึ่งโจทก์ได้คืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนการตรวจสอบเพื่อคืนภาษี เมื่อต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยนำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ที่พิพาทมาเพื่อประเมินสถานะกิจการของจำเลยประกอบการพิจารณาตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วจำเลยไม่ไปพบและไม่นำเอกสารดังกล่าวไปให้โจทก์ การที่โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์เรียกร้องเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยขอรับคืนไปก่อนการตรวจปฏิบัติการเพื่อคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ที่พิพาทเสร็จสิ้น และไม่ใช่การประเมินให้จำเลยเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีไม่จำต้องออกหมายเรียกและมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง และศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นสมควรวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์ไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ภายหลังหนังสือค้ำประกันของธนาคารสิ้นกำหนดเวลา จำเลยไม่ยอมไปพบและไม่นำเอกสารไปให้ตรวจสอบ โจทก์จึงถือว่าจำเลยไม่มีใบกำกับภาษีซื้อมาแสดง ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่มีสิทธิรับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืน โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินภายใน 30 วัน นับแต่จำเลยได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2545 เมื่อครบกำหนดเวลาตามหนังสือทวงถามจำเลยไม่ชำระหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัด ดังนั้นจำเลยจึงมีหน้าที่คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้รับไปแก่โจทก์จำนวน 7,366,823.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 7,366,823.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 มีนาคม 2546) ให้โจทก์ไม่เกิน 549,484.32 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share