คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บริเวณที่เกิดเหตุไม่มีป้ายแสดงว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีบ้านราษฎรปลูกอยู่สองข้างทางหลายหลัง และทางราชการได้ออก น.ส.3ก.สำหรับที่ดินใกล้เคียงหลายแปลง จำเลยซึ่งเป็นคนต่างท้องที่ไม่รู้ว่าที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยอาศัยอยู่เป็นป่าสงวนแห่งชาติจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิด คำขอให้สั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคท้าย ศาลจะสั่งได้ต่อเมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 8, 9, 14, 31 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83และให้จำเลย คนงานผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 8, 9, 14, 31 วรรคหนึ่งพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3พระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 24,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยคนงานผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ยึดถือครอบครอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวฟังได้ว่า ที่ดินที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากทางแยกเข้าบ้านเขานิยมจากถนนกำแพงเพชรพรานกระต่าย หรือถนนกำแพงเพชร-สุโขทัยประมาณ 150 เมตร โดยบริเวณที่เกิดเหตุและที่ทางแยกเข้าบ้านเขานิยมไม่มีป้ายแสดงว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติมีบ้านราษฎรปลูกอยู่สองข้างทางจากปากทางแยกเข้าบ้านเขานิยมจนห่างจากถนนกำแพงเพชร-พรานกระต่ายหรือถนนกำแพงเพชร-สุโขทัย ประมาณ 100 เมตร หลายหลัง และทางราชการได้ออก น.ส.3 ก. สำหรับที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินที่เกิดเหตุหลายแปลง ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเจือสมทางนำสืบของจำเลยให้มีน้ำหนักเชื่อได้ว่า จำเลยซึ่งเป็นคนต่างท้องที่ไม่รู้ว่าที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยอาศัยอยู่นั้นเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยไม่รู้ว่าที่ดินที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติเช่นนี้การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามฟ้องโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น เห็นว่า คำขอส่วนนี้เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31วรรคท้าย ซึ่งศาลจะมีอำนาจสั่งได้เช่นนั้น ต่อเมื่อศาลพิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าวแล้ว ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้นเป็นการไม่ชอบปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้”
พิพากษายืน แต่ให้ยกคำขอให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้างผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย

Share