คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5347/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องด้วยวาจาโดยขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องในความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจร ฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ และฐานใช้ยานพาหนะบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องทั้งสามฐาน แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ แม้จะได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็ย่อมพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยจำนนต่อหลักฐาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 4, 92, 94, 111, 152 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 4, 5, 10 ทวิ, 140, 141, 150, 155 พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 4, 6, 61, 73/2, 75 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 152 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140, 141, 155 พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 4, 6, 61 วรรคหนึ่ง, 73/2 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจร ปรับ 1,000 บาท ฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ จำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท ฐานใช้ยานพาหนะบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จำคุก 2 เดือน ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษทุกกระทงรวมเป็นโทษจำคุก 4 เดือนและปรับ 15,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (เดิม) ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 152 ไม่ริบของกลางและให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงซึ่งต้องดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร็ว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีอาญาต่อศาลแขวง จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์จึงไม่ต้องสืบพยานและศาลจะทำคำสั่งหรือคำพิพากษาด้วยวาจาก็ได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 20 และมาตรา 21 จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องและจำนนต่อพยานหลักฐานนั้นแล้ว เห็นว่า คดนี้โจทก์ฟ้องด้วยวาจาโดยขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องในความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจร ฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ และฐานใช้ยานพาหนะบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องทั้งสามฐาน แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ แม้จะได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็ย่อมพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยจำนนต่อหลักฐานดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share