คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5345/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องถึงตำแหน่งและหน้าที่ของจำเลยทั้งห้าตลอดจนการกระทำทั้งหลายว่าเป็นการมิชอบด้วยหน้าที่ไว้โดยละเอียดแสดงถึงการกระทำทั้งหลายซึ่งอ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำนั้น ๆ เพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า การกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 3 ซึ่งเป็นการกระทำเดียวกันกับในคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นจำเลยในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ได้ความเพียงว่า ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ทั้งโจทก์ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5ได้กระทำการใดเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายอันจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 จึงไม่มีมูล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 มาแล้วศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนจำเลยอื่นไม่มีเจตนากระทำผิดคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่กล่าวถึงการกระทำของจำเลยทั้งห้าว่าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายและจำเลยทั้งห้าได้กระทำการโดยทุจริตแล้วพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงตำแหน่งและหน้าที่ของจำเลยทั้งห้าตลอดจนการกระทำทั้งหลายว่าเป็นการมิชอบด้วยหน้าที่ไว้โดยละเอียดแสดงถึงการกระทำทั้งหลายซึ่งอ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำนั้น ๆ เพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้วฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า ในการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นจำเลยในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ซึ่งเป็นการกระทำเดียวกันนี้ศาลพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงเป็นอันระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 นั้น เมื่อพิจารณาตามทางนำสืบของโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อมิได้ตรวจสอบหลักฐานให้แน่ชัด โจทก์มิได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2ที่ 4 และที่ 5 ได้กระทำการใดเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นอันจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้จากการนำสืบของโจทก์ดังกล่าว คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 4และที่ 5 จึงไม่มีมูลที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share