แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้จำนวนอื่นใดต่อโจทก์อีกนอกจากหนี้ตามเช็คพิพาท ทั้งพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยมีหนี้สินอื่น เมื่อเช็คพิพาทถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ดำเนินการโอนที่ดินของจำเลยเป็นชื่อโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าได้ตกลงกำหนดราคาที่ดินเป็นอย่างอื่น ย่อมถือเสมือนว่าโจทก์ ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคแรก ทำให้ หนี้ตามเช็คพิพาทเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกจากจำเลยอีก
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงินตามเช็คเป็นเงิน ๕,๔๑๒,๓๑๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การทั้งสองสำนวนว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับมอบให้โจทก์จริง ต่อมาจำเลยโอนที่ดิน ๓ แปลง ชำระหนี้แก่โจทก์ มูลหนี้ตามเช็คจึงระงับลงแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๔,๖๕๐,๖๔๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยลงทุนร่วมกันเพื่อซื้อที่ดินของนายขจร ศรเนตร บริเวณสี่แยกข่วงสิงห์ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ ๑๕ ไร่ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา เพื่อนำไปขายแบ่งกำไรกัน จำเลยรับเงินลงทุนจากโจทก์ ๒ ครั้ง เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ ๓,๓๓๓,๔๐๐ บาท ทั้งยืมเงินโจทก์เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในส่วนของจำเลยด้วยเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามเช็คและบันทึกการรับเช็ค เอกสารหมาย จ. ๑๔ จ. ๑๕ และ ล. ๑๐ ล. ๑๑ จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทฉบับแรก เป็นเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาแม่ริม ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๔ เพื่อ ชำระหนี้เงินยืมโจทก์เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๔ ตามเช็คและใบคืนเช็ค เอกสารหมาย จ. ๖ ต่อมาจำเลยไม่สามารถซื้อที่ดินของนายขจรได้สำเร็จ เป็นเหตุให้นายขจร ริบเงินมัดจำที่วางไว้จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ขอเงินลงทุนที่จำเลยรับไปแล้วทั้งหมดคืน จำเลยจึงสั่งจ่ายเช็คพิพาทฉบับที่ ๒ เป็นเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาแม่ริม ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ ชำระหนี้เงินลงทุนที่จำเลยรับไปจากโจทก์ทั้งสองครั้งโดยหักค่าใช้จ่ายกับเงินมัดจำที่นายขจรริบไปแล้วเป็นเงิน ๕,๔๑๒,๓๑๒ บาท ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทฉบับที่ ๒ ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ตามเช็คและใบคืนเช็ค เอกสารหมาย จ. ๒๐ จำเลยชำระหนี้ แก่โจทก์ ๒ ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๔ โดยโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์ที่ธนาคารทหารไทย จำกัด สาขา ตลาดหนองหอย เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๔ โดยชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารการโอนเงินและบันทึกเอกสารหมาย ล. ๑๓ และ ล. ๑๔ ต่อมาวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๔ โจทก์ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินของจำเลยพร้อมทะเบียนบ้านกับบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยและหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้ไปดำเนินการโอนที่ดินตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล. ๑๕ หรือ จ. ๒๔ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทะเบียนเลขที่ ๓๑๖๖ เลขที่ดิน ๔๐๘ กับทะเบียนเลขที่ ๓๑๖๗ เลขที่ดิน ๔๐๙ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ทะเบียนเลขที่ ๓๒๓ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เอกสารหมาย ล. ๓ ล. ๔ และ ล. ๖ ตามลำดับเป็นของโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องทั้งสองสำนวนของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้จำนวนอื่นใดต่อโจทก์อีกนอกจากหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ ทั้งพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยยังมีหนี้สินอื่นคงค้างที่โจทก์จัดนำที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลยตีใช้หนี้ได้นอกจากมูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับตามฟ้องเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว เป็นเงินถึง ๗๕๐,๐๐๐ บาท และเมื่อเช็คพิพาทฉบับที่สองถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ดำเนินการโอนที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลยเป็นชื่อโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าได้ตกลงกำหนดราคาที่ดินทั้งสามแปลงเป็นอย่างอื่น ย่อมถือเสมือนว่าโจทก์ ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคแรก ทำให้หนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำเช็คพิพาท ทั้งสองฉบับมาฟ้องเรียกจากจำเลยอีก คดีไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าที่ดินทั้งสามแปลงมีราคาคุ้มกับจำนวนหนี้ตาม เช็คพิพาททั้งสองฉบับหรือไม่
พิพากษายืน.