คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3408/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของสามีโจทก์ร่วมกับโจทก์ เอาทรัพย์สินกองมรดกมาทำสัญญาแบ่งให้ตนเองประโยชน์ส่วนได้เสียของจำเลยย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก แม้จะเป็นการกระทำในฐานะส่วนตัวก็ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 สัญญาแบ่งทรัพย์นั้นจึงตกเป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลยตกเป็นโมฆะ เพราะทำขึ้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย มิได้มีคำขอเกี่ยวกับทรัพย์สินตามสัญญานั้นแต่อย่างใด เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายเกรียงศักดิ์ หรือกิ้มสุย ตรีวรพันธ์หรือแซ่ตี๋ สามีโจทก์ร่วมกับโจทก์ตามคำสั่งศาล ไม่ดำเนินการจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามหน้าที่ กีดกันไม่ยอมให้โจทก์เข้าควบคุมและจัดการทรัพย์มรดก พยายามปิดบังทรัพย์มรดกของผู้ตาย โดยใช้กลฉ้อฉลทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายมีเพียงเท่าที่ตกลงแบ่งทรัพย์สินกัน โจทก์หลงเชื่อ จึงได้ทำบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินกับจำเลย ความจริงผู้ตายมีทรัพย์มรดกเป็นจำนวนมาก การที่จำเลยทำบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินเป็นการแบ่งเอาทรัพย์มรดกของผู้ตายไปเป็นของตนโดยไม่มีสิทธิ ทั้งเป็นการทำนิติกรรมที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกทำกับตนเองโดยจำเลยมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก และมิได้รับอนุญาตจากศาลนิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันโจทก์หรือทายาทของกองมรดก นอกจากนี้จำเลยยังหลอกลวงให้โจทก์ ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจของกรมที่ดิน แล้วนำไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นของจำเลย และจำเลยได้เบียดบังรายได้จากรถยนต์โดยสารรวม ๖๕ คันอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ซึ่งมีรายได้สุทธิวันละไม่ต่ำกว่า ๓๐,๐๐๐ บาทกับรายได้ที่ผู้ตายเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทนครบริการขนส่งจำกัดจำนวน ๕๐๐ หุ้นมูลค่าหุ้นละ ๕,๐๐๐ บาท ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีรายได้จากกิจการเดินรถวันละไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ บาทซึ่งตกได้แก่กองมรดกครึ่งหนึ่ง แต่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะกรรมการของบริษัทดังกล่าวมิได้จัดการแบ่งผลกำไรให้แก่กองมรดกหรือทายาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยโอนทรัพย์สินที่มีชื่อผู้ตายทั้งหมด และทรัพย์สินกองมรดกที่จำเลยได้โอนไปก็ให้จัดการโอนกลับคืนสู่สภาพเดิม ให้จำเลยส่งมอบเอกสารโฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ใบหุ้นบริษัทนครบริการขนส่งจำกัด เลขที่ ๑ – ๕๐๐ ทะเบียนรถยนต์ตลอดจนเอกสารที่เกี่ยวข้องที่มีชื่อผู้ตายทั้งหมด และแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจของกรมที่ดินที่มีลายมือชื่อของนางนิตยา ตรีวรพันธุ์คืนให้โจทก์ ให้โจทก์มีสิทธิเข้าครอบครองดูแลทรัพย์สินอันเป็นมรดกที่มีชื่อผู้ตายได้ด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นพี่น้องกับนายเกรียงศักดิ์ ตรีวรพันธุ์ผู้ตายได้ดำเนินการค้าร่วมกัน ก่อนโจทก์สมรสกับผู้ตายหลายปี มีทรัพย์สินและหนี้สินระคนปนกันอยู่ทั้งในนามของจำเลยและในนามของผู้ตาย ยังมิได้มีการแบ่งแยก จนกระทั่งนายเกรียงศักดิ์ ตรีวรพันธ์ ถึงแก่กรรม หลังจากศาลตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว โจทก์ต้องการแบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมของผู้ตาย ซึ่งเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์กับของจำเลยออกจากกัน โจทก์จำเลยจึงได้ตกลงแบ่งแยกทรัพย์สินตามบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๑ โดยความสมัครใจของโจทก์ทุกประการ ก่อนทำการแบ่งแยกจำเลยมิได้ปิดบังทรัพย์มรดก มิได้กีดกันโจทก์เข้าควบคุมจัดการทรัพย์มรดกจำเลยไม่เคยใช้ฉ้อฉลโจทก์ การตกลงแบ่งทรัพย์ทำต่อหน้าปลัดจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีมารดาโจทก์เป็นที่ปรึกษาและลงลายมือชื่อเป็นพยานการทำความตกลงแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวก็เพื่อแบ่งแยกส่วนกรรมสิทธิ์รวมออกจากกัน ไม่ใช่ทำบันทึกเอาทรัพย์สินกองมรดกมาให้แก่จำเลย และมิใช่จำเลยทำกับตนเอง มิใช่เป็นการทำนิติกรรมซึ่งจำเลยมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ไม่เป็นการก่อตั้งสิทธิใหม่ ไม่ทำให้ทายาทกองมรดกเสียเปรียบจึงไม่เป็นโมฆะนอกจากนี้จำเลยยังให้การต่อสู้อีกหลายประการ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่าไม่ติดใจสืบพยานและสละประเด็นข้อพิพาทอื่นในคดี ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเพียงว่าสัญญาแบ่งทรัพย์ท้ายฟ้องฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาแบ่งทรัพย์สินท้ายฟ้องฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๑ เป็นเพียงการแบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวม ซึ่งจำเลยสามารถตกลงแบ่งแยกกับโจทก์ผู้เป็นทายาทของเจ้าของรวมที่ถึงแก่ความตายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๔ กรณีมิใช่เป็นการเข้าทำนิติกรรมซึ่งจำเลยมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒๒ สัญญาดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า หนังสือบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๑ เป็นโมฆะ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กองมรดกของผู้ตายอันได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายรวมทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ย่อมตกทอดแก่ทายาทของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๙ และ ๑๖๐๐ โจทก์จำเลยทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินให้ไว้ต่อกันตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ โดยข้อ ๑ ของสัญญาดังกล่าวระบุถึงรายการทรัพย์สินที่ตกเป็นส่วนได้ของโจทก์ซึ่งมีที่ดินรวมสิบเอ็ดแปลง อาคารพาณิชย์สองคูหา รถยนต์บรรทุกสองคันรถยนต์เก๋งหนึ่งคัน รถยนต์โดยสารหนึ่งคันและเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทและตามข้อ ๒ ระบุให้ทรัพย์สินนอกจากที่กล่าวในข้อ ๑ แม้อยู่ในนามนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุย ให้ตกเป็นส่วนของจำเลย หนี้สินต่าง ๆ ของนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยก็ให้ตกเป็นส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยฝ่ายเดียว แม้ข้อความตอนต้นในสัญญาดังกล่าวถึงการที่นายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยกับจำเลยดำเนินกิจการต่าง ๆ ร่วมกัน มีทรัพย์สินและหนี้สินในนามของจำเลยบ้างนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยบ้างระคนปนกันอยู่ แต่สัญญาดังกล่าวก็มิได้ระบุให้ปรากฏถึงกิจการที่นายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยกับจำเลยดำเนินร่วมกันทรัพย์สินและหนี้สินที่จะถือว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันก็มิได้มีรายการแสดงไว้ ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าทรัพย์สินที่นำมาแบ่งกันตามบันทึกตกลงดังกล่าวล้วนแต่เป็นทรัพย์สินซึ่งมีชื่อนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เช่นรายการทรัพย์สินอันเป็นที่ดินดังที่ระบุในข้อ ๑ ของสัญญาดังกล่าวและรายการทรัพย์สินในข้อ ๒ ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทรัพย์สินของจำเลยซึ่งนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของถูกนำมาแบ่งตามสัญญานี้ด้วยแต่อย่างใด แม้แต่หุ้นของนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยในบริษัทนครบริการขนส่ง จำกัด จำนวน ๕๐๐ หุ้นซึ่งถือได้ว่าเป็นทรัพย์มรดกของนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยผู้ตาย จำเลยก็ให้การว่าเป็นทรัพย์ที่จะต้องบังคับตามบันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ คือตกเป็นส่วนของจำเลยตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินดังกล่าว ดังนี้ การที่จำเลยอ้างว่าสัญญาแบ่งทรัพย์สินที่ทำให้ไว้ต่อกันไม่ใช่นิติกรรมก่อตั้งสิทธิใหม่จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามสัญญากรณีแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า โจทก์จำเลยเอาทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์มรดกของนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยผู้ตายตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นมาทำสัญญาแบ่งกัน มิใช่เป็นการแบ่งทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมดังข้ออ้างของจำเลยการที่จำเลยเอาทรัพย์สินกองมรดกของนายเกรียงศักดิ์หรือกิ้มสุยผู้ตายซึ่งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกมาทำสัญญาแบ่งให้จำเลย ประโยชน์ส่วนได้เสียของจำเลยย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกอยู่ในตัว แม้จะอ้างว่าเป็นการกระทำในฐานะส่วนตัวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒๒ เพราะขณะทำสัญญาจำเลยยังเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ตามคำสั่งศาลอยู่ สัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับจำเลยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลพิพากษามาในข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า บันทึกตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลยฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๑ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ ซึ่งทำขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย ให้ตกเป็นโมฆะ โดยโจทก์ขอสละประเด็นข้อพิพาททั้งหมดคงขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะในประเด็นดังกล่าวเพียงข้อเดียว โจทก์มิได้มีเกี่ยวกับทรัพย์สินตามสัญญาที่ว่านี้แต่อย่างใดและจำเลยให้การต่อสู้ถึงการที่โจทก์ถือเอาประโยชน์ตามสัญญานี้แต่เพียงว่าโจทก์ได้เข้าอยู่ในอาคารพาณิชย์และรับเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทไปแล้ว คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ และในชั้นฎีกาจำเลยก็เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนจึงเป็นการไม่ถูกต้อง
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลที่โจทก์จำเลยเสียเกินมาในชั้นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์จำเลย

Share