คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2255/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัท ฮ. จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ พ.ศ. 2501 แล้วได้โอนขายทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทให้จำเลยที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2516 จำเลยที่ 1 ใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทมาก่อนโจทก์ แม้โจทก์จะไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นก่อน จำเลยที่ 1 ก็ฟ้องแย้งขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ขอจดไว้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า “HARRIS” และได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้แล้วตามทะเบียนเลขที่ ๗๕๕๑๗ จำเลยที่ ๑ ได้ตั้งตัวแทนยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวสำหรับสินค้าจำพวก ๘ ตามคำขอเลขที่ ๑๒๑๘๕๐ แล้วแต่งตั้งจำเลยที่ ๒ ดำเนินการต่อโจทก์คัดค้านคำขอดังกล่าว ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวสำหรับใช้กับสินค้าของโจทก์ในจำพวก ๘ ตามคำขอเลขที่ ๑๒๖๓๕๓ นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าแจ้งโจทก์ว่าดำเนินการจดทะเบียนให้ไม่ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “HARRIS” ดีกว่าจำเลย และให้จำเลยทั้งสองถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า เครื่องหมายการค้าคำว่า “HARRIS” เป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีสินค้าจำหน่ายแพร่หลายไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย นายทะเบียนจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้โจทก์โดยหลงผิด ขอให้ศาลเพิกถอนคำขอจดทะเบียนของโจทก์ และสั่งห้ามนายทะเบียนรับจดทะเบียนการค้าตามคำขอดังกล่าว และเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๗๕๕๑๗ กับห้ามมิให้โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า “HARRIS” กับสินค้าทุกชนิด กับขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับที่กล่าวในฟ้อง แต่ต่อสู้ว่านายทะเบียนรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้โจทก์โดยสุจริต จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ดำเนินการเพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๗๕๕๑๗ ของโจทก์ ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน คำขออื่นตามฟ้องแย้งให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๑ มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่ากันนั้น โจทก์มีนายไพโรจน์ อภินรเศรษฐ์ เป็นพยานเบิกความว่า นายโจว ชิงฉวน ประธานกรรมการบริษัทฮาร์ริสเอ็นจิเนียริงเวอร์ค จำกัด ซึ่งอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทไว้ในประเทศนั้นแล้วตามเอกสารหมาย จ.๒ ต่อมาบริษัทดังกล่าวตั้งโจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัทดังกล่าวในประเทศไทย และบริษัทดังกล่าวมอบฉันทะให้โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทในประเทศไทย แต่ตามเอกสารหมาย จ.๒ นั้นปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวเพิ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ไป พ.ศ. ๒๕๒๓ และตามเอกสารหมาย จ.๓ บริษัทดังกล่าวเพิ่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ นี้เอง ที่พยานปากนี้อ้างว่าบริษัทดังกล่าวมอบฉันทะให้โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทในประเทศไทยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีหลักฐานมาสนับสนุนข้ออ้างนี้แต่ประการใด ส่วนจำเลยทั้งสองนำสืบโดยมีหลักฐานประกอบรับฟังได้ว่าเครื่องหมายการค้าพิพาทนั้น จำเลยที่ ๑ ใช้มา ๑๐ ปีเศษ แล้ว และบริษัทฮาร์ริส คาโลริฟิค จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ตามเอกสารหมาย ล.๖ ได้โอนขายทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทให้จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๑๖ ตามหนังสือโอนสิทธิเอกสารหมาย ล.๗ ทั้งจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ไว้ที่ประเทศออสเตรเลียเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ตามเอกสารหมาย ล.๘ นอกจากนี้จำเลยที่ ๑ ยังมอบให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแหลมทองผลิตภัณฑ์แก๊ส เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ ๑ ภายใต้เครื่องหมายการค้าพิพาทนี้ และห้างดังกล่าวได้ขายสินค้าให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิศวิลัยพาณิชย์ตามเอกสารหมาย ล.๑๐ พยานโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าโจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share