แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดฐานทำ มี และใช้โทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมฯ มาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ความผิดตามมาตรา 23 นั้นเป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตส่วนความผิดตามมาตรา 26เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม ซึ่งความผิดฐานนี้แม้จำเลยจะมีเครื่องรับวิทยุคมนาคมโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม หากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 23 กระทงหนึ่ง และการที่จำเลยลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคมของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบุคคลอื่นและของจำเลยเองรวม 3 เครื่องอันเป็นความผิดตามมาตรา 26 แม้การที่จำเลยลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคมและนำออกให้ประชาชนเช่าบริการสาธารณะดังกล่าวจะกระทำในเวลาเดียวกันแต่ก็เป็นการกระทำที่สามารถแยกจากกันเป็นราย ๆ ไปได้ ตามจำนวนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จำเลยลักลอบปรับคลื่นและนำออกให้ประชาชนเช่าบริการสาธารณะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 3 กระทง ไม่ใช่เป็นความผิดเพียงกรรมเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยได้ซื้อหรือรับไว้ซึ่งวิทยุคมนาคม ประเภทโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดมือถือจำนวน 3 เครื่อง และช่วยซ่อนเร้นซึ่งของดังกล่าวโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นนั้นลักลอบนำและพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยได้ทำเครื่องวิทยุคมนาคมประเภทเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดมือถือระบบเซลลูลาร์ 800 จำนวน3 เครื่อง ซึ่งไม่มีหมายเลขทะเบียนกรมไปรษณีย์โทรเลข ซึ่งเป็นเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดมือถือที่จำเลยรับไว้และซ่อนเร้นเป็นความผิดแล้วนำมาทำการปรับเปลี่ยนและแต่งคลื่นความถี่รับส่งที่มีประจำเครื่องเดิมให้มีคลื่นความถี่ของช่องสัญญาณการรับส่งใหม่ เป็นคลื่นสัญญาณระบบเซลลูลาร์ 800 ของหมายเลขโทรศัพท์ในช่องสัญญาณ ซึ่งมีผู้มีชื่อได้จดทะเบียนการเช่าใช้อย่างถูกต้อง จำเลยได้มีเครื่องวิทยุคมนาคมประเภทเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดมือถือระบบเซลลูลาร์ 800 ที่มียี่ห้อรุ่นและหมายเลขประจำเครื่องกับไม่มีหมายเลขประจำเครื่องจำนวน 3เครื่อง ที่จำเลยได้ทำขึ้นโดยแปรสภาพใหม่ดังกล่าว พร้อมด้วยเครื่องชาร์จแบตเตอรี่จำนวน 1 ชุด และอุปกรณ์แบตเตอรี่จำนวน8 ก้อน ซึ่งเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมรับส่งตามกฎหมายที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนกรมไปรษณีย์โทรเลขและลักลอบใช้ช่องสัญญาณสื่อสารวิทยุคมนาคมรับส่งของโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดมือถือระบบเซลลูลาร์ 800 หมายเลขเครื่อง 01-4384962, 01-4904334 ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดมือถือของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตและจดทะเบียนการเช่าใช้อย่างถูกต้องที่จำเลยทำขึ้นโดยทุจริตดังกล่าวและหมายเลข 01-6725805 ที่เป็นหมายเลขเดิมประจำเครื่องโทรศัพท์มือถือยี่ห้อที่จดทะเบียนในนามจำเลยไว้ในความครอบครองของจำเลยทั้งนี้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานผู้ออกใบอนุญาต จำเลยได้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่จำเลยทำ มีไว้ในครอบครองดังกล่าวเป็นความผิด โดยนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดมือถือซึ่งเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวออกให้ผู้อื่นเช่าใช้วิทยุคมนาคมรับส่งติดต่อสื่อสารจากเครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าว เพื่อเก็บค่าเช่าใช้หากำไรจากผู้ที่เช่าใช้เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวรับส่งสื่อสารโดยทุจริต ทั้งนี้ โดยจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมของผู้ที่ได้รับใบอนุญาตและจดทะเบียนเช่าใช้อย่างถูกต้อง อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย บริษัทโทเทิ่ลแอ็กเซ๊สคอมมูนิเคชั่นจำกัด (มหาชน) นางสาวบัวภา สวัสดีและบริษัทเคหเซนเตอร์จำกัด เหตุเกิดที่ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4,6, 22, 23, 26 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 และริบเครื่องวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์วิทยุคมนาคมของกลางทั้งหมดไว้เพื่อใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข กับของกลางอื่นทั้งหมด
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 22, 23, 26พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ต้องลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำหรือมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยมิได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานจงใจทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมลงโทษฐานใช้เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 เดือน และฐานรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรปรับ81,900 บาท รวมจำคุก 6 เดือน ปรับ 81,900 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 40,950 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบเครื่องวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์วิทยุคมนาคมของกลาง เพื่อไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขและริบของกลางอื่นทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดค่าปรับและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง,22, 23, 26 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานทำหรือมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยมิได้รับอนุญาตจำคุก 4 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่าจำเลยนำเครื่องวิทยุคมนาคมจำนวนถึง 3 เครื่อง มาปรับสัญญาณในช่องสัญญาณซึ่งมีผู้จดทะเบียนการเช่าอย่างถูกต้องแล้วจำเลยนำออกให้ผู้อื่นเช่าเพื่อเก็บค่าเช่าใช้หากำไรจากผู้ที่เช่าใช้เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวรับส่งสื่อสาร เป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเจ้าของคลื่นซึ่งได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต และระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งยังฉ้อค่าภาษีอากร ซึ่งเป็นรายได้ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง จึงนับเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่าสำหรับข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 22,23, 26 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานทำหรือมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เห็นได้ชัดว่าความผิดฐานทำมีและใช้โทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 นั้น มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกัน กล่าวคือ ความผิดตามมาตรา 23 นั้น เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดตามมาตรา 26 นั้น เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม ซึ่งความผิดฐานนี้แม้จำเลยจะมีเครื่องรับวิทยุคมนาคมโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำการให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 เช่นกัน ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำมี และใช้วิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่ง ส่วนการที่จำเลยลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคมของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบุคคลอื่นและของจำเลยเองรวม 3 เครื่อง อันเป็นการจงใจทำให้เกิดการรบกวนและขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้การที่จำเลยลักลอบปรับคลื่นวิทยุคมนาคมและนำออกให้ประชาชนเช่าบริการสาธารณะดังกล่าวจะกระทำในวันเวลาเดียวกันแต่ก็เป็นการกระทำที่สามารถแยกจากกันเป็นราย ๆ ไปได้ ตามจำนวนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จำเลยลักลอบปรับคลื่นและนำออกให้ประชาชนเช่าบริการสาธารณะ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดแยกเป็นราย ๆ ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 3 กระทง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาข้อนี้มา ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษและแก้ไขเสียให้ถูกต้อง โดยไม่แก้โทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามา”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ฐานทำ มี และใช้วิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 23 กระทงหนึ่ง ฐานทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 อีกสามกระทง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5