แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงิน 4,000 บาท จำเลยว่าเป็นเรื่องซื้อของเชื่อเพียง 400 บาท โจทก์ให้จำเลยเซ็นชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยมิได้กรอกข้อความไว้ จำเลยยังมิได้ชำระค่าซื้อของเชื่อจริง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์กรอกสัญญากู้ภายหลัง จึงให้จำเลยชำระค่าซื้อของเชื่อ 400 บาท ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาฟังว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้เงินกู้ตามสัญญาที่โจทก์ฟ้อง แต่ฟังได้ว่าจำเลยได้ลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังมิได้กรอกข้อความให้โจทก์ไว้ เนื่องจากจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อของเชื่อจากโจทก์ ก็พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 400 บาทให้โจทก์ได้ (ความจริงศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมีผลเท่ากับให้จำเลยใช้เงิน 400 บาท นั่นเอง).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๒ ครั้ง ครั้งแรก ๕,๐๐๐ บาท ครั้งที่สอง ๔,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ไม่ได้กู้เงินโจทก์เลย ความจริงจำเลยซื้อของเชื่อจากโจทก์ ๒ ครั้ง ครั้งละ ๔๐๐ บาท ครั้งแรกได้ใช้หนี้ไปแล้ว ส่วนครั้งหลังยังมิได้ชำระ โจทก์ให้จำเลยเซ็นชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยมิได้กรอกข้อความไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์กรอกสัญญาภายหลัง แต่จำเลยคงเป็นหนี้ค่าปุ๋ยโจทก์อยู่ ๔๐๐ บาท จึงให้จำเลยใช้เงิน ๔๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงินค่าปุ๋ย ๔๐๐ บาทนั้น ยุติธรรมแล้ว ขอให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้เป็นหนี้เงินกู้ตามสัญญาที่โจทก์ฟ้อง แต่ฟังได้ว่าจำเลยได้ลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังมิได้กรอกข้อความให้โจทก์ไว้เนื่องจากจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อของเชื่อจากโจทก์ จึงพิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น