คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9614/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยซึ่งเคยอยู่กินกันฉันสามีภริยาตกลงฝากเงินไว้ในธนาคารเพื่อการศึกษาของบุตรเป็นการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ตามป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองทั้งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปลงลายมือชื่อร่วมถอนเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวก่อนฟ้องคดีนี้แล้ว จึงถือได้ว่าบุตรได้แสดงเจตนาแก่จำเลยในฐานะลูกหนี้ว่าจะถือเอาเงินฝากตามสัญญาอันเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว ตามป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคสอง ดังนั้น เงินในบัญชีเงินฝากจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุตรก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยหาได้มีกรรมสิทธิ์ในเงินฝากดังกล่าวไม่
โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย เมื่อจำเลยประพฤติผิดสัญญากล่าวคือจำเลยไม่ยอมไปลงลงลายมือชื่อถอนเงินฝากในบัญชีธนาคารให้แก่บุตร แม้จะเป็นการฟ้องคดีภายหลังจากที่บุตรได้แสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญานั้นก็ตาม โจทก์ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยเป็นส่วนตัวจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
โจทก์บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งว่า จำเลยไม่ยอมลงลายมือชื่อถอนเงินฝากจากบัญชีธนาคารร่วมกับโจทก์ ทั้งก่อนฟ้องคดีโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปธนาคารเพื่อถอนเงินให้แก่บุตรหรือยินยอมให้โจทก์จัดการได้เพียงผู้เดียว แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องโดยขอให้ถอนชื่อจำเลยออกจากบัญชีเงินฝากก็ตาม แต่คงมีผลเท่ากับว่าเป็นการขอให้จำเลยร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารให้แก่บุตรตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องนั่นเอง หาใช่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ ตามป.วิ.พ. มาตรา 142

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือเด็กชายรุ่งโรจน์ บำเรอวงษ์ อายุ ๑๑ ปี ต่อมาโจทก์จำเลยแยกทางกัน โจทก์เป็นผู้ปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว ก่อนแยกทางกันโจทก์จำเลยร่วมกันฝากเงินไว้ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกร็ด บัญชีเลขที่ ๑๔๒-๓-๐๓๒๒๕-๘/๐๑ เพื่อทุนการศึกษาของบุตร ต่อมาโจทก์ขอถอนเงินจากธนาคารเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาแก่บุตร แต่ธนาคารไม่จ่ายเงินให้เนื่องจากตามเงื่อนไขโจทก์และจำเลยจะต้องลงลายมือชื่อถอนเงินร่วมกัน โจทก์ติดต่อไปยังจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมมาร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินจากธนาคาร ขอให้บังคับจำเลยไปถอนชื่อออกจากบัญชีธนาคารดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของและมีกรรมสิทธิ์ในเงินฝากที่พิพาทอยู่ด้วย โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ถอนชื่อจำเลยออกจากบัญชีเงินฝากที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์เบิกเงินจากบัญชีเงินฝากเลขที่ ๑๔๒-๓-๐๓๒๒๕-๘/๐๑ ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกร็ด ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า เงินฝากในบัญชีเงินฝาก เลขที่ ๑๔๒-๓-๐๓๒๒๕-๘/๐๑ ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาปากเกร็ด เป็นของเด็กชายรุ่งโรจน์ บำเรอวงษ์ ให้จำเลยไปร่วมกับโจทก์เบิกเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวให้แก่เด็กชายรุ่งโรจน์ บำเรอวงษ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิฉัยว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาจะยกเงินส่วนนี้ให้แก่เด็กชายรุ่งโรจน์ผู้เป็นบุตรเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษา แม้จะมีเงื่อนไขในการเบิกถอนว่าโจทก์จำเลยต้องลงลายมือชื่อร่วมกันก็เป็นเพียงวิธีการอันเป็นระเบียบในการฝากเงินถอนเงินของธนาคารเท่านั้น หาได้มีผลทำให้ถือว่าโจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาจะยกเงินฝากดังกล่าวให้แก่บุตรด้วยแต่อย่างใดไม่ กรณีต้องถือว่า การที่โจทก์จำเลยตกลงฝากเงินไว้ในธนาคารเพื่อการศึกษาของเด็กชายรุ่งโรจน์เป็นการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ วรรคหนึ่ง และเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายรุ่งโรจน์ และเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองทั้งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายรุ่งโรจน์ได้มีหนังสือบอกกล่าว ให้จำเลยไปลงลายมือชื่อร่วมถอนเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวก่อนฟ้องคดีนี้แล้ว จึงถือได้ว่าเด็กชายรุ่งโรจน์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยในฐานะลูกหนี้ว่าจะถือเอาเงินฝากดังกล่าวตามสัญญาอันเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ วรรคสอง ดังนั้น เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเด็กชายรุ่งโรจน์ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยจึงหามีกรรมสิทธิ์ในเงินฝากดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย เมื่อจำเลยประพฤติผิดสัญญากล่าวคือ จำเลยไม่ยอมไปลงลายมือชื่อถอนเงินฝากในบัญชีธนาคารให้แก่บุตร แม้จะเป็นการฟ้องคดีภายหลังจากที่เด็กชายรุ่งโรจน์ได้แสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญานั้นก็ตาม โจทก์ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ การที่โจทก์บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งว่า จำเลยไม่ยอมลงลายมือชื่อถอนเงินฝากจากบัญชีธนาคารร่วมกับโจทก์ ทั้งก่อนฟ้องคดีโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปธนาคารเพื่อถอนเงินให้แก่บุตรหรือยินยอมให้โจทก์จัดการได้เพียงผู้เดียว ดังนั้นแม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้อง โดยขอให้ถอนชื่อจำเลยออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารก็ตาม แต่ก็คงมีผลเท่ากับว่าเป็นการขอให้จำเลยร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารให้แก่บุตรตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องแล้วนั่นเอง หาใช่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องแต่ประการใดไม่ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ชอบแล้ว
พิพากษายืน

นางพิมลรัตน์ วรรธนะหทัย ผู้ช่วยฯ
นางสาวจันทนา บารมีอวยชัย ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายกีรติ กาญจนรินทร์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share