คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 เฉพาะที่ดินมีโฉนดเท่านั้นหาได้ซื้อที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทจากจำเลยที่ 2 ด้วยไม่การที่โจทก์ยึดถือที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าและครอบครองสืบต่อมาโดยไม่ได้เลิกการเช่า จึงเป็นการยึดถือที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าตามเดิม โจทก์จึงอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองอันเป็นการครอบครองแทนจำเลยที่ 2ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาท โจทก์หามีสิทธิครอบครองไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินมือเปล่าเลขที่ดิน 167 ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ตามแผนที่ท้ายฟ้อง โดยซื้อมาจากจำเลยที่ 2พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 โจทก์ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาตั้งแต่ปี 2510 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มอบหมายให้จำเลยที่ 4 นำรถไถนาบุกรุกเข้าไปไถในที่ดินดังกล่าวและในที่ดินโฉนดเลขที่ 9350บางส่วน เป็นเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ทั้งได้หว่านข้าวลงในที่ดินทั้งสองแปลง ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินทำให้ขาดรายได้จากการทำนาคิดเป็นเงิน 50,000 บาท โจทก์ห้ามจำเลยทั้งสี่แล้ว แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 50,000 บาท ให้แก่โจทก์ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวหรือรบกวนการครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 และที่ดินมือเปล่าระวาง 21 ต 2 ฎเลขที่ดิน 167 ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยากับขับไล่จำเลยทั้งสี่และบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวจำเลยทั้งสี่ให้การและจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งว่า ที่ดิน 3 แปลงตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การเดิมเป็นของจำเลยที่ 2 เฉพาะที่ดินแปลงหมายเลข 1 และหมายเลข 3 เป็นที่ดินมีโฉนด ส่วนที่ดินแปลงหมายเลข 2 เป็นที่ดินมือเปล่า ต่อมาจำเลยที่ 2 ให้โจทก์เช่าที่ดินทั้ง 3 แปลงโดยมิได้ทำสัญญาเช่า ครั้นจำเลยที่ 2 โอนที่ดินแปลงหมายเลข 1 ให้แก่โจทก์ในประเภทให้โดยได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อยโจทก์ยังเช่าที่ดินแปลงหมายเลข 2 และหมายเลข 3 ต่อไปต่อมามีภัยธรรมชาติคือมีหนูกัดกินต้นข้าวในนา จนกระทั่งชาวนาเลิกทำนาเป็นเวลาประมาณ 5 ปี ระยะเวลาดังกล่าวโจทก์บอกเลิกการเช่านาที่ดินแปลงหมายเลข 2 และหมายเลข 3 ต่อจำเลยที่ 2 จนเมื่อต้นปี2527 ทางราชการตัดถนนสายสามโคก-เสนาผ่านเข้าไปในที่ดินแปลงหมายเลข 3 บางส่วน จำเลยที่ 2 ขอให้จำเลยที่ 1 ช่วยหาคนไปไถนาที่ดินของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงจ้างจำเลยที่ 4 ไถนาเฉพาะที่ดินแปลงหมายเลข 2 และหมายเลข 3 เท่านั้น แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 4 ต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีอาญากล่าวหาว่าบุกรุกที่ดินแปลงหมายเลข 1 บางส่วนที่ดินแปลงหมายเลข 2 และหมายเลข 3 ศาลพิพากษายกฟ้อง ขณะนี้จำเลยที่ 2 ยังใช้ให้ตนทำนาในที่ดินแปลงหมายเลข 2และหมายเลข 3 ตามปกติ จำเลยที่ 2 ไม่เคยขายที่ดินแปลงหมายเลข 2ให้แก่โจทก์ โจทก์มิได้เป็นเจ้าของ และมิได้ครอบครองที่ดินแปลงหมายเลข 2 อย่างเป็นเจ้าของ ค่าเสียหายตามฟ้องนั้น โจทก์เรียกร้องในลักษณะเลื่อนลอยและค้ากำไร การที่โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหมายเลข 2 เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าที่ดินแปลงหมายเลข 2เลขที่ดิน 167 เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 3 งานเศษ เป็นของจำเลยที่ 2ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 ขายที่ดินแปลงหมายเลข 1ตามแผนที่สังเขป ท้ายคำให้การให้แก่โจทก์ในราคา 25,000 บาทแต่จดทะเบียนในลักษณะให้เพราะจำเลยที่ 2 ต้องการหลีกเลี่ยงการเสียค่าธรรมเนียม โจทก์ครอบครองที่ดินแปลงหมายเลข 2 พร้อมกับที่ดินซึ่งซื้อจากจำเลยที่ 2 โจทก์ครอบครองเพื่อตนเองโดยสงบเปิดเผย เป็นเวลาถึง 16 ปี ไม่มีบุคคลใดโต้แย้งคัดค้าน ส่วนที่ดินแปลงหมายเลข 3 นั้น โจทก์เช่าจากจำเลยที่ 2 จริง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 3บุตรของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทแปลงหมายเลข 2 ตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การได้แก่ที่ดินเลขที่ 167 นั้น จำเลยที่ 2เป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียว ให้ยกฟ้องโจทก์ ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรม นายสำเริงไกรอักษร บุตรของโจทก์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกมีว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทหรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า ซื้อที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทจากจำเลยที่ 2 มาพร้อมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 แล้วครอบครองอย่างเจ้าของตลอดมา จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าโจทก์เช่าที่ดินตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ล.1 ทั้งสามแปลงจากจำเลยที่ 2แล้วต่อมา จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9350ประเภทให้แก่โจทก์โดยได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อย โจทก์ยังคงเช่าที่ดินแปลงหมายเลข 2 คือที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทและที่ดินแปลงหมายเลข 3ต่อมา เป็นการครอบครองแทนจำเลยที่ 2 ประเด็นที่แท้จริงซึ่งคู่ความโต้แย้งกัน จึงอยู่ที่ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทเพราะโจทก์ได้ซื้อที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทจากจำเลยที่ 2 มาพร้อมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 หรือว่าโจทก์ยึดถือที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาท โดยอาศัยสิทธิการเช่าจากจำเลยที่ 2โจทก์จึงอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองอันเป็นการครอบครองแทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงยังเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาท ในปัญหาข้อนี้ โจทก์อ้างในคำฟ้องว่า ซื้อที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทจากจำเลยที่ 2 มาพร้อมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 แต่ตามหลักฐานสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ตกลงจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 เนื้อที่ 28 ไร่ 3 งาน 8 ตารางวาให้แก่โจทก์เท่านั้น หาได้ตกลงขายที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทด้วยไม่และเมื่อจำเลยที่ 2 โอนที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ก็ทำสัญญาเป็นยกที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 ให้แก่โจทก์เท่านั้น หาได้มีข้อความยกที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทให้แก่โจทก์ด้วยไม่ ฉะนั้นตามหลักฐานสัญญาย่อมแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า โจทก์จำเลยที่ 2 ตกลงซื้อขายกันเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 ซึ่งมีเนื้อที่ 28 ไร่ 3 งาน 8 ตารางวาเท่านั้น จำเลยที่ 2 หาได้ตกลงขายที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทให้แก่โจทก์ด้วยไม่ ดังนั้น ที่โจทก์นำสืบอ้างว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 จากจำเลยที่ 2 ในราคา 25,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 โดยโจทก์จำเลยที่ 2 ต่างเข้าใจว่าที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในโฉนดเลขที่ 9350ต่อมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางราชการตัดถนนผ่านที่ดินของจำเลยที่ 2โฉนดเลขที่ 2524 มีการรังวัดเวนคืนที่ดินทำถนน โจทก์จึงทราบว่าที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทไม่ได้ เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 จึงเป็นการกล่าวอ้างเอาเองโดยเลื่อนลอยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนทั้งไม่มีเหตุหรือพฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยที่ 2 จะเข้าใจผิดว่า ที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 ดังที่โจทก์อ้าง เพราะโจทก์เช่าที่ดินตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ล.1 จากจำเลยที่ 2 อยู่ก่อน ที่ดินดังกล่าวประกอบด้วยที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 ที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทและที่ดินโฉนดเลขที่ 2524 เรียงติดต่อเป็นผืนเดียวกัน หลังจากครอบครองที่ดินทั้งสามแปลงในฐานะผู้เช่าแล้ว โจทก์จึงได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 จากจำเลยที่ 2 ที่ดินของจำเลยที่ 2ส่วนที่เหลือโจทก์ยังคงเช่าต่อมา กรณีเป็นเรื่องซื้อขายที่ดินมีโฉนดซึ่งจะต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันโดยทางจดทะเบียนหาใช่กรณีการซื้อขายที่ดินมือเปล่าที่จะสละการครอบครองให้แก่กันโดยการชี้แนวเขตและส่งมอบการครอบครองไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 2จะสละการครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทให้แก่โจทก์โดยสำคัญผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 ดังที่โจทก์อ้าง นอกจากนี้โฉนดที่ดินเลขที่ 9350 ที่จำเลยที่ 2 ขายให้แก่โจทก์นั้น ระบุไว้ชัดแจ้งว่าด้านตะวันออกจดที่ดินหมายเลข 74 และที่ว่างซึ่งตรงกับที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทหาได้ระบุว่าจดที่ดินโฉนดเลขที่ 2524 ของจำเลยที่ 2 ที่ให้โจทก์เช่านั้นไม่ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 2524 ของจำเลยที่ 2 ก็ระบุไว้ว่า ด้านตะวันตกจดที่ป่าตรงกับที่มือเปล่าแปลงพิพาทหาได้ระบุว่าจดที่ดินโฉนดเลขที่ 9350แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้เพียงว่าโจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 เนื้อที่ 28 ไร่ 3 งาน8 ตารางวา เท่านั้น หาได้ซื้อที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทจากจำเลยที่ 2ด้วยไม่ การที่จำเลยที่ 2 ยึดถือที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากจำเลยที่ 2 มาแต่ต้น และครอบครองสืบต่อมาหลังจากที่ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 9350 จากจำเลยที่ 2 แล้ว โดยไม่ได้เลิกการเช่า จึงเป็นการยึดถือที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากจำเลยที่ 2 ตามเดิม โจทก์จึงอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองอันเป็นการครอบครองแทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาท โจทก์หามีสิทธิครอบครองไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยทั้งสี่บุกรุกแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงพิพาทหรือไม่ โจทก์เสียหายเท่าใดอีกต่อไป”
พิพากษายืน

Share