แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาโจทก์และเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกับโจทก์ว่ายื่นคำร้องขอออก น.ส.3ทับที่ดินโจทก์อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์นั้นเป็นการฟ้องในฐานะส่วนตัว หาใช่ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกไม่จึงเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1562
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายต่วนได้ยกที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 337 ให้โจทก์ต่อมาโจทก์ได้ซื้อที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 173 จากนางหรุย และได้ครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงตลอดมา เมื่อปี 2518 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาโจทก์และเป็นผู้จัดการมรดกของนายต่วนผู้ตายร่วมกับโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอออก น.ส.3 ทับที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าวแล้วจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 337 และเลขที่ 173 เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวรบกวนสิทธิครอบครอง และสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. กับสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออก น.ส.3 ก. ที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 337 นายต่วนไม่เคยยกให้โจทก์ ส่วนที่ดินแปลง ส.ค.1 เลขที่ 173 จำเลยที่ 1กับนายต่วนซื้อจากนางหรุย เมื่อนายต่วนถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1จึงขอออก น.ส.3 รวมเป็นผืนเดียวในนามของจำเลยที่ 1 เพื่อจะแบ่งให้ทายาท แต่ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 ไว้ก่อน ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ขอออกน.ส.3 ก. และจะโอนแบ่งมรดกให้โจทก์ตามสิทธิ โจทก์ไม่ยอมรับและฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอุทลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ ในปัญหานี้ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 แย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการฟ้องในฐานะส่วนตัว หาใช่ในฐานะผู้จัดการมรดกไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นมารดาโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และนายต่วนเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลง
พิพากษายืน