คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3536/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประกันภัยระบุไว้ว่า “การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความเสียหายใดๆ ต่อรถยนต์ อันเกิดจากการใช้โดยบุคคลของอู่เมื่อรถยนต์ได้มอบให้อู่ทำการซ่อม เว้นแต่การซ่อมนั้นบริษัท(จำเลย) เป็นผู้สั่งหรือให้ความยินยอม”นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ล. ช่างซ่อมรถของอู่นำรถของโจทก์ที่นำไปซ่อมออกไปขับแล้ว ท. ขับรถกินทางเข้ามาชนรถโจทก์ในช่องทางวิ่งของรถโจทก์ทำให้รถโจทก์เสียหาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากความผิดของ ท. การใช้รถของ ล. มิใช่เป็นผลโดยตรงให้เกิดความเสียหายจำเลยจะอ้างสัญญาดังกล่าวมาเป็นข้อปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์เก๋งของโจทก์ รถยนต์ของโจทก์ถูกรถยนต์ของผู้อื่นชนได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า สัญญาประกันภัยไม่คุ้มครองถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งโจทก์ตกลงรับชดใช้ค่าเสียหายจากผู้ขับรถชนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย จำเลยเข้ารับช่วงสิทธิไม่ได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ทำสัญญารับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ไว้จริง ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย โจทก์ได้มอบรถยนต์คันนั้นให้อู่จงปิยะการช่างทำการซ่อมโดยเปลี่ยนโชคอัพหลัง แล้วนายหลอยช่างของอู่ได้นำรถออกไปขับ และถูกนายทรงศักดิ์ขับรถอีกคันหนึ่งมาชนรถของโจทก์ได้รับความเสียหาย
สัญญาประกันภัยรายพิพาทระบุในข้อ ๓.๘.๖ ว่า การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความเสียหายใด ๆ ต่อรถยนต์ อันเกิดจากการใช้โดยบุคคลของอู่เมื่อรถยนต์ได้มอบให้อู่ทำการซ่อมเว้นแต่การซ่อมนั้นบริษัท (จำเลย) เป็นผู้สั่งหรือให้ความยินยอม
ปัญหาจึงมีว่า ความเสียหายที่รถยนต์ของโจทก์ถูกชนในครั้งนี้เกิดจากการใช้โดยบุคคลของอู่หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานประจำวันของตำรวจหมาย จ.๒ ว่าเหตุที่เกิดชนครั้งนี้น่าจะเป็นความประมาทของนายทรงศักดิ์ผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ท/๕๗ ๐๑๐๐ ที่เปลี่ยนช่องทางวิ่งโดยไม่ดูให้ปลอดภัยจากรถทางตรง นายหลอยช่างซ่อมรถซึ่งขับรถยนต์ของโจทก์ในขณะเกิดเหตุเบิกความว่า นายหลอยขับรถของโจทก์มาตามถนนพญาไทจากสี่แยกปทุมวันมาทางสามย่านโดยวิ่งเลนในขับตรงไปมีรถยนต์อีกคันหนึ่งซึ่งมีนายทรงศักดิ์เป็นคนขับ ขับไปทางเดียวกัน นายทรงศักดิ์ขับรถกินทางเข้ามาชนรถโจทก์ในเลนของรถโจทก์ นายหลอยไปแจ้งความที่โรงพัก ตำรวจมาดูที่เกิดเหตุแล้วว่า รถคันนายทรงศักดิ์เป็นฝ่ายผิด นายมนตรีพยานจำเลยก็เบิกความยอมรับว่า เหตุที่รถชนกันครั้งนี้ฝ่ายนายทรงศักดิ์เป็นฝ่ายผิดข้อเท็จจริงจึงเป็นอันฟังยุติได้ว่าความเสียหายในครั้งนี้เกิดจากความผิดของนายทรงศักดิ์หาใช่เกิดจากความผิดของนายหลอยไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ความเสียหายครั้งนี้จะเกิดขึ้นในระหว่างที่นายหลอยซึ่งเป็นคนของอู่นำรถไปใช้ก็ตาม แต่ความเสียหายมิได้เกิดจากการใช้ของนายหลอยหากเกิดจากความผิดของนายทรงศักดิ์โดยตรงดังจะเห็นได้ว่า ถ้านายทรงศักดิ์ขับรถโดยระมัดระวังไม่เปลี่ยนช่องทางวิ่งมาชนรถของโจทก์แล้ว รถของโจทก์ก็จะไม่ถูกชนจนเสียหาย ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการใช้ของนายหลอยหาได้เป็นผลโดยตรงให้เกิดความเสียหายในครั้งนี้ไม่ความประมาทเลินเล่อของนายทรงศักดิ์ต่างหากที่เป็นผลโดยตรงให้เกิดความเสียหายแก่รถของโจทก์ในครั้งนี้ ฉะนั้นจำเลยจะอ้างสัญญาข้อ ๓.๘.๖ มาเป็นข้อปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน ๒๘,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย

Share