แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่ให้นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาล สมุห์บัญชี ต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินคืนให้แก่เทศบาลในกรณีมีการทุจริตอันเกี่ยวกับการรักษาเงินขึ้นนั้น ไม่ใช่กฎหมาย จะยกเอาระเบียบดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัยว่า บุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้รับผิดชดใช้เงินแทนในทันทีขณะทราบว่ามีการทุจริตขึ้น โดยมิต้องสอบสวนว่าบุคคลดังกล่าวจะต้องรับผิดจริงหรือไม่เสียก่อนหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนายกเทศมนตรีเมืองยะลา จำเลยที่ ๒ รักษาการในตำแหน่งสมุห์บัญชี จำเลยที่ ๓ รักษาการในตำแหน่งปลัดเทศบาล จำเลยที่ ๑ เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบในงานทั่วไปของเทศบาล ตามระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น และตามระเบียบแบบแผน กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการเงินตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยข้อ ๒๑ มีความว่า “บรรดาเงินรายได้หรือเงินอื่นใดของเทศบาลทุกหน่วยงาน ให้นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาลหรือผู้รักษาการแทน สมุห์บัญชีหรือผู้รักษาการแทน เป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน ในการเก็บรักษาเงินดังกล่าวนี้ หากปรากฏมีการทุจริตใด ๆ อันเกี่ยวกับการรักษาเงินดังกล่าวนี้ขึ้น ให้บุคคลดังกล่าวนี้ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินคืนให้แก่เทศบาลจนครบ” และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบในการบริหารเทศบาลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ยักยอกเงินเทศบาลไป ๒๕,๓๘๐ บาท ซึ่งพนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ ๒ แล้ว ตามสำนวนคดีอาญาดำที่ ๕๖๗/๒๔๙๙ จำเลยที่ ๓ โดยตำแหน่งต้องรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาเงินตามระเบียบข้อ ๒๑ นอกจากนี้จำเลยที่ ๑
ยังเป็นกรรมการรับผิดชอบในการรักษาเงินตามระเบียบการคลังเทศบาลข้อ ๒๗ ว่าต้อง “ตรวจสอบบรรดาหลักฐานการรับจ่ายเงินทั้งหมดเมื่อสิ้นการรับจ่ายในวันหนึ่ง ๆ โดยจะต้องทำการตรวจสอบจำนวนเงินรับจ่าย สอบหลักฐานต่าง ๆ ที่ใช้เก็บเงินและใช้จ่ายเงินในวันนั้น ตลอดจนการคำนวณของเจ้าหน้าที่ด้วยว่าคำนวณไว้ถูกต้องเพียงใด เมื่อถูกต้องตรงกันแล้ว ให้กรรมการรักษาเงินทุก ๆคนลงนามรับรองไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ต้องร่วมกันรับผิดชอบตามความในข้อ ๒๑ อีกทางหนึ่งด้วย” จำเลยที่ ๓ ลงชื่อรับรองในบัญชีคุมยอดเงินคงเหลือแผนกคลังว่าเป็นการถูกต้องไว้ด้วย การปฏิบัติงานของจำเลยทั้ง ๓ ทำให้เทศบาลเสียหาย จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้เงิน ๒๕,๓๘๐ บาท ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้รู้เห็นและร่วมรับเงินกับจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ จึงไม่ต้องรับผิดตามระเบียบข้อ ๒๑ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า ไม่ได้ยักยอกเงินดังฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
วันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยที่ ๑, ๒ แถลงรับว่าจำเลยที่ ๒ ถูกฟ้องคดีอาญาว่ายักยอก ให้รอฟังผลก่อน ต่อมาคดีอาญาดังกล่าว ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยที่ ๒ กำหนด ๒ ปี กับให้คืนหรือใช้เงิน ๒๕,๓๘๐ บาทแก่เทศบาล คดีถึงที่สุดแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม แต่คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ศาลพิพากษาจำคุกและให้คืนและใช้เงินแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ ๒ อีกเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ สำหรับจำเลยอื่นไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่จำเลยที่ ๑ ยกอายุความ ๑ ปีขึ้นต่อสู้ไว้ ฟังได้ว่านายอำเภอผู้ตรวจการเทศบาลตรวจพบว่าเงิน ๒๕,๓๘๐ บาท จ่ายซ้ำถึง ๒ หน จึงรายงานให้นายประสิทธินายกเทศมนตรีทราบเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๙๙ นับถึงวันฟ้องคือ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐๐ เกิน ๑ ปี ขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์ไม่นำสืบให้ปรากฏว่าเพิ่งทราบตัวบุคคลผู้จะต้องรับผิดภายหลัง และฟ้องภายในกำหนด ๑ ปี จำเลยที่ ๓ ไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่ก็ได้รับประโยชน์จากอายุความด้วย เพราะอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วม และจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๙ ไม่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ ๑ และ ๓ ว่า คดียังไม่ขาดอายุความ แม้จะฟังว่าขาดก็จะยกฟ้องถึงจำลยที่ ๓ ซึ่งไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ทราบว่ามีการกระทำผิด ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๙๙ โจทก์ก็ต้องรู้ตัวผู้จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้วในทันทีตามระเบียบการเงินข้อ ๒๑ และระเบียบการคลังข้อ ๒๗ ซึ่งระบุตัวผู้ต้องรับผิดไว้แล้ว ไม่จำต้องสอบสวนอะไรอีก คดีจึงขาดอายุความแล้ว ทั้งโจทก์ก็ไม่นำสืบว่าคดียังไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด จะให้ศาลสันนิษฐานเอาเองว่าระยะที่เกิน ๑ ปี เป็นระหว่างดำเนินการเพื่อให้รู้ตัวผู้จะต้องรับผิดไม่ได้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาเช่นเดียวกับชั้นอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยข้อ ๒๑ และระเบียบการคลังข้อ ๒๗ เป็นระเบียบที่มีขึ้นเป็นการภายในของกระทรวงมหาดไทย และเทศบาลเอง ไม่ใช่กฎหมาย หากระเบียบดังกล่าวนี้ออกเพื่อใช้บังคับให้ผู้ที่มิได้กระทำผิดหรือตามกฎหมายผู้นั้นไม่ต้องรับผิด ให้จำต้องรับผิดแล้ว ก็จะนำเอาระเบียบนั้นมาปรับกับรูปคดีหาได้ไม่ จึงต้องวินิจฉัยชี้ขาดไปตามที่มีบทกฎหมายบังคับไว้สำหรับการนั้น ๆ การที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาระเบียบดังกล่าวมาวินิจฉัยว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะต้องรับผิดแล้ว โดยมิได้ถือเอาผลของการสอบสวนที่ว่า ความจริงหรือข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้รู้เรื่องการกระทำผิดและรู้ตัวผู้ที่พึงจะต้องรับผิดจริง ๆ เมื่อไรขึ้นมาวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ในเรื่องการนำสืบว่าคดีขาดอายุความหรือไม่นั้น จำเลยเป็นฝ่ายที่กล่าวอ้างขึ้น แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบถึงข้อว่าคดีโจทก์ขาดอายุความไว้เลย ส่วนโจทก์นั้นมีพยานมาสืบฟังได้ว่า วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ว่ามีการกระทำผิดนั้น เพราะนายอำนวยบันทึกรายงานให้ทราบว่า “ขอให้ (นายกเทศมนตรี) พิจารณาดำเนินการเพื่อทราบข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ว่าเป็นประการใด” อันเห็นได้ชัดว่าในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ซึ่งโจทก์รู้ว่ามีการกระทำผิดนั้น โจทก์ยังไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด เพราะต่อมาอีก ๒ วัน นายประสิทธิ์นายกเทศมนตรีจึงได้ตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนหาตัวผู้จะต้องรับผิดในเงินรายนี้ขึ้น จากนั้นในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๙๙ นายประสิทธิจึงสั่งพักหน้าที่การงานจำเลยที่ ๒ ผู้เดียว แล้วส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนคดีอาญาแก่จำเลยที่ ๒ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าตามหลักฐานและพฤติการณ์ต่าง ๆ ตามสำนวนก็ฟังได้ว่า ภายในระยะเวลา ๗ วันที่เกิน ๑ ปีไปนั้น กว่าจะได้ตั้งกรรมการสอบสวนขึ้น และจนกว่ากรรมการสอบสวนจะสอบสวนเสร็จ และรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องรับผิด ก้เห็นว่าเวลาเพียง ๗ วัน ไม่พอจะรู้ตัวผู้ที่พึงจะต้องรับผิดได้เลย
คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
อนึ่ง คดีนี้ประเด็นที่ว่า จำเลยที่ ๑ และ ๓ ประมาทเลินเล่อจะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลบ่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย ซึ่งสมควรจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงนี้ต่อไป จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลทั้งสองเสีย ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงดังกล่วาแล้วพิจารณาใหม่ตามรูปความ