แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พนักงานสอบสวนพบรอยห้ามล้อท้าย รถยนต์ ของ โจทก์ที่ 2 ยาวประมาณ30 เมตร แสดงว่าก่อนเกิดเหตุโจทก์ที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงเพราะแม้ห้ามล้อห่างถึง 30 เมตรก็ยังไม่สามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัยการที่โจทก์ที่ 2 ห้ามล้อรถของตนถึง 30 เมตรยังแสดงว่าเห็นรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ห่างกว่า 30 เมตร พนักงานสอบสวนเบิกความด้วยว่าตามสภาพที่เห็นมีทางเป็นไปได้ว่ามีกองไฟก่อด้วยกิ่งไม้อยู่ทางด้านหลังรถยนต์ บรรทุก โจทก์ที่ 2 ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุมีรถยนต์บรรทุกและรถยนต์เล็กเปิดไฟสูงแล่นสวนทางมา พอไฟจางจึงเห็นรถจำเลยที่ 1 จอดอยู่ข้างหน้า การที่โจทก์ที่ 2 ไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าได้พอแก่ความปลอดภัย โจทก์ที่ 2 ควรลดความเร็วลงแต่โจทก์ที่ 2 กลับขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 2ชนท้าย รถยนต์ บรรทุกของจำเลยที่ 1 ที่จอดอยู่โดยได้ทำสัญญาณรถเสียไว้แล้ว ฉะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังของโจทก์ที่ 2 ฝ่ายเดียว และมิใช่เหตุสุดวิสัยเพราะกรณีดังกล่าวสามารถที่จะป้องกันมิให้เกิดเหตุได้.
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกและเป็นจำเลยที่ ๒ ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ ๑และเรียกจำเลยที่ ๑ ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ ๒ เรียกจำเลยที่ ๑ในสำนวนแรกเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ ๑ เรียกจำเลยที่ ๒ในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ ๒
สำนวนแรกโจทก์ที่ ๑ ฟ้องว่า มีผู้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ซึ่งจำเลยที่ ๒ รับประกันภัยไปจอดไว้บนผิวการจราจรถนนมิตรภาพในลักษณะกีดขวางการจราจรและมิได้ให้สัญญาณใด ๆ อันเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์คันที่โจทก์ที่ ๑ รับประกันภัยไว้พุ่งเข้าชน โจทก์ที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยแล้วรับช่วงสิทธิมาฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและโจทก์ที่ ๑ ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒
สำนวนหลังจำเลยที่ ๑ ฟ้องว่า ก่อนเกิดเหตุยางรถยนต์ล้อหลังด้านซ้ายของรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ เกิดระเบิด ผู้ขับนำเข้าจอดชิดขอบถนนด้านซ้ายพร้อมกับนำกิ่งไม้มาวางทางด้านหน้าและด้านหลังรถ เปิดไฟสัญญาณและจุดไฟสัญญาณให้เห็นอย่างชัดแจ้ง โจทก์ที่ ๒เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกและน้ำตาลทรายดิบที่บรรทุกมาถูกไฟไหม้หมดขอให้บังคับโจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาท โจทก์ที่ ๒มิได้ประมาท หากฟังว่าเป็นความประมาทของโจทก์ที่ ๒ ก็เป็นเหตุสุดวิสัย จากโจทก์ที่ ๑ ต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายของจำเลยที่ ๑ เกินความจริง
โจทก์ที่ ๒ ให้การว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑โจทก์ที่ ๒ มิได้ประมาท ค่าเสียหายของจำเลยที่ ๑ เกินความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ ๒ รับผิดชำระเงิน ๓๖๕,๐๐๐ บาทโจทก์ที่ ๑ รับผิดชำระเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑ พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ที่ ๑ที่ ๒ ว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของฝ่ายใด และกรณีเป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ จำเลยที่ ๑ มีนายถวัลย์ มานะบัง และนายสุอัฐยามน้ำทรัพย์ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อยางล้อหลังด้านซ้ายรถยนต์บรรทุกระเบิด นายถวัลย์ได้นำรถชิดขอบทาง และเอากิ่งมะขามเทศมาวางไว้ด้านหน้ารถ ๑ กอง ด้านหลังรถในระยะ ๑๕ เมตร ๑ กอง ๑๕๐ เมตรอีก ๑ กอง ในระหว่างสองกองได้สุมไฟพร้อมกับเปิดสวิตซ์ไฟท้ายรถเป็นสัญญาณว่ารถเสีย เห็นว่า หลังจากร้อยตำรวจโทกิตติโรจน์ นรรัตน์พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุแล้วออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุทันที พบรอยห้ามล้อท้ายรถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ ยาวประมาณ ๓๐ เมตร แสดงว่าก่อนเกิดเหตุโจทก์ที่ ๒ ขับรถมาด้วยความเร็วสูงเพราะแม้ห้ามล้อห่างถึง ๓๐ เมตร ก็ยังไม่สามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัย ที่โจทก์ที่ ๒ อ้างว่าเห็นรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ ครั้งแรกห่างประมาณ๓ เมตร นั้น ขัดต่อเหตุผล การที่โจทก์ที่ ๒ ห้ามล้อรถของตนถึง๓๐ เมตร แสดงว่าเห็นรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ ห่างกว่า ๓๐ เมตรร้อยตำรวจโทกิตติโรจน์เบิกความเจือสมคำพยานจำเลยที่ ๑ ว่า ตามสภาพที่เห็นเป็นไปได้ว่ามีกองไฟก่อด้วยกิ่งไม้อยู่ทางด้านหลังรถยนต์บรรทุกสิบล้อ รถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ ชนกองไฟ แล้วลากเอาไปชนรถยนต์บรรทุกสิบล้อจึงเกิดไฟลุกไหม้ขึ้น ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่ามีการสุมไฟด้านหลังรถยนต์บรรทุกสิบล้ออันเป็นสัญญาณว่ารถเสียจริง ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน โจทก์ที่ ๒ ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุมีรถยนต์บรรทุกและรถยนต์เล็กเปิดไฟสูงแล่นสวนทางมา พอไฟจางจึงเห็นรถจำเลยที่ ๑จอดอยู่ข้างหน้า การที่โจทก์ที่ ๒ ไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าได้พอแก่ความปลอดภัยเช่นนี้ โจทก์ที่ ๒ ควรลดความเร็วของรถ แต่โจทก์ที่ ๒ กลับขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ ชนท้ายรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ ๑ที่จอดอยู่โดยทำสัญญาณรถเสียไว้แล้ว ฉะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังของโจทก์ที่ ๒ แต่ฝ่ายเดียว ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ โจทก์ที่ ๒ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่อุบัติเหตุครั้งนี้หาใช่เป็นเหตุสุดวิสัยดังที่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาไม่ เพราะกรณีดังกล่าวสามารถที่จะป้องกันมิให้เกิดเหตุได้ สำหรับจำเลยที่ ๑เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีการสุมไฟไว้ด้านหลังรถยนต์บรรทุกสิบล้อเป็นสัญญาณว่ารถเสียแล้ว ย่อมถือได้ว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจำเลยที่ ๑ จำต้องปฏิบัติแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีส่วนประมาทด้วย…
พิพากษายืน.