คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5263/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานสอบสวนพบรอยห้ามล้อท้าย รถยนต์ ของ โจทก์ที่ 2 ยาวประมาณ30 เมตร แสดงว่าก่อนเกิดเหตุโจทก์ที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงเพราะแม้ห้ามล้อห่างถึง 30 เมตรก็ยังไม่สามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัยการที่โจทก์ที่ 2 ห้ามล้อรถของตนถึง 30 เมตรยังแสดงว่าเห็นรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ห่างกว่า 30 เมตร พนักงานสอบสวนเบิกความด้วยว่าตามสภาพที่เห็นมีทางเป็นไปได้ว่ามีกองไฟก่อด้วยกิ่งไม้อยู่ทางด้านหลังรถยนต์บรรทุก โจทก์ที่ 2 ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุมีรถยนต์บรรทุกและรถยนต์เล็กเปิดไฟสูงแล่นสวนทางมา พอไฟจางจึงเห็นรถจำเลยที่ 1 จอดอยู่ข้างหน้า การที่โจทก์ที่ 2 ไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าได้พอแก่ความปลอดภัย โจทก์ที่ 2 ควรลดความเร็วลงแต่โจทก์ที่ 2 กลับขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 2ชนท้าย รถยนต์ บรรทุกของจำเลยที่ 1 ที่จอดอยู่โดยได้ทำสัญญาณรถเสียไว้แล้ว ฉะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังของโจทก์ที่ 2 ฝ่ายเดียว และมิใช่เหตุสุดวิสัยเพราะกรณีดังกล่าวสามารถที่จะป้องกันมิให้เกิดเหตุได้.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกและเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 1และเรียกจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2 เรียกจำเลยที่ 1ในสำนวนแรกเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2ในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ที่ 1 ฟ้องว่า มีผู้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1ซึ่งจำเลยที่ 2 รับประกันภัยไปจอดไว้บนผิวการจราจรถนนมิตรภาพในลักษณะกีดขวางการจราจรและมิได้ให้สัญญาณใด ๆ อันเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์คันที่โจทก์ที่ 1 รับประกันภัยไว้พุ่งเข้าชน โจทก์ที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยแล้วรับช่วงสิทธิมาฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและโจทก์ที่ 1 ถอนฟ้องจำเลยที่ 2
สำนวนหลังจำเลยที่ 1 ฟ้องว่า ก่อนเกิดเหตุยางรถยนต์ล้อหลังด้านซ้ายของรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 เกิดระเบิด ผู้ขับนำเข้าจอดชิดขอบถนนด้านซ้ายพร้อมกับนำกิ่งไม้มาวางทางด้านหน้าและด้านหลังรถ เปิดไฟสัญญาณและจุดไฟสัญญาณให้เห็นอย่างชัดแจ้ง โจทก์ที่ 2เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกและน้ำตาลทรายดิบที่บรรทุกมาถูกไฟไหม้หมดขอให้บังคับโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท โจทก์ที่ 2มิได้ประมาท หากฟังว่าเป็นความประมาทของโจทก์ที่ 2 ก็เป็นเหตุสุดวิสัย จากโจทก์ที่ 1 ต้องรับผิดก็ไม่เกิน 250,000 บาท ค่าเสียหายของจำเลยที่ 1 เกินความจริง
โจทก์ที่ 2 ให้การว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1โจทก์ที่ 2 มิได้ประมาท ค่าเสียหายของจำเลยที่ 1 เกินความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ 2 รับผิดชำระเงิน 365,000 บาทโจทก์ที่ 1 รับผิดชำระเงิน 250,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ที่ 1ที่ 2 ว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของฝ่ายใด และกรณีเป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ จำเลยที่ 1 มีนายถวัลย์ มานะบัง และนายสุอัฐยามน้ำทรัพย์ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อยางล้อหลังด้านซ้ายรถยนต์บรรทุกระเบิด นายถวัลย์ได้นำรถชิดขอบทาง และเอากิ่งมะขามเทศมาวางไว้ด้านหน้ารถ 1 กอง ด้านหลังรถในระยะ 15 เมตร 1 กอง 150 เมตรอีก 1 กอง ในระหว่างสองกองได้สุมไฟพร้อมกับเปิดสวิตซ์ไฟท้ายรถเป็นสัญญาณว่ารถเสีย เห็นว่า หลังจากร้อยตำรวจโทกิตติโรจน์ นรรัตน์พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุแล้วออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุทันที พบรอยห้ามล้อท้ายรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ยาวประมาณ 30 เมตร แสดงว่าก่อนเกิดเหตุโจทก์ที่ 2 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงเพราะแม้ห้ามล้อห่างถึง 30 เมตร ก็ยังไม่สามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัย ที่โจทก์ที่ 2 อ้างว่าเห็นรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ครั้งแรกห่างประมาณ3 เมตร นั้น ขัดต่อเหตุผล การที่โจทก์ที่ 2 ห้ามล้อรถของตนถึง30 เมตร แสดงว่าเห็นรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ห่างกว่า 30 เมตรร้อยตำรวจโทกิตติโรจน์เบิกความเจือสมคำพยานจำเลยที่ 1 ว่า ตามสภาพที่เห็นเป็นไปได้ว่ามีกองไฟก่อด้วยกิ่งไม้อยู่ทางด้านหลังรถยนต์บรรทุกสิบล้อ รถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ชนกองไฟ แล้วลากเอาไปชนรถยนต์บรรทุกสิบล้อจึงเกิดไฟลุกไหม้ขึ้น ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่ามีการสุมไฟด้านหลังรถยนต์บรรทุกสิบล้ออันเป็นสัญญาณว่ารถเสียจริง ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน โจทก์ที่ 2 ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุมีรถยนต์บรรทุกและรถยนต์เล็กเปิดไฟสูงแล่นสวนทางมา พอไฟจางจึงเห็นรถจำเลยที่ 1จอดอยู่ข้างหน้า การที่โจทก์ที่ 2 ไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าได้พอแก่ความปลอดภัยเช่นนี้ โจทก์ที่ 2 ควรลดความเร็วของรถ แต่โจทก์ที่ 2 กลับขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 2ชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ชนท้ายรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 1ที่จอดอยู่โดยทำสัญญาณรถเสียไว้แล้ว ฉะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังของโจทก์ที่ 2 แต่ฝ่ายเดียว ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ โจทก์ที่ 2 อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่อุบัติเหตุครั้งนี้หาใช่เป็นเหตุสุดวิสัยดังที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกาไม่ เพราะกรณีดังกล่าวสามารถที่จะป้องกันมิให้เกิดเหตุได้ สำหรับจำเลยที่ 1เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีการสุมไฟไว้ด้านหลังรถยนต์บรรทุกสิบล้อเป็นสัญญาณว่ารถเสียแล้ว ย่อมถือได้ว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจำเลยที่ 1 จำต้องปฏิบัติแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีส่วนประมาทด้วย…
พิพากษายืน.

Share