แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ที่ 2 จะขับรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ที่ 1 และที่ 3 นั่งซ้อนท้ายมาด้วย เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่เหตุดังกล่าวมิใช่เหตุโดยตรงที่ทำให้รถเกิดเฉี่ยวชนกันเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถแซงรถผู้อื่นบนสะพานล้ำเส้นทึบแบ่งกึ่งกลางถนนออกไปเฉี่ยวชนรถโจทก์ที่ 2 ซึ่งขับมาด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหตุที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียว
โจทก์ที่ 2 เป็นข้าราชการ แม้จะมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งในส่วนของตนตลอดจนโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาและโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรก็ตาม สิทธิดังกล่าวก็เป็นสิทธิที่รัฐกำหนดให้แก่ข้าราชการไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลย โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยผู้ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดได้อีก
โจทก์ทั้งสามฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดมาในฟ้องเดียวกันโดยแยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมา ชัดเจน เป็นส่วนของแต่ละคน เมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 3 เรียกร้องไม่เกิน 50,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3จะฎีกาเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ เป็นบิดามารดาโจทก์ที่ ๓ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน ๘๐-๐๒๔๗ สมุทรสาคร จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒บรรทุกสินค้าไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทคือขับด้วยความเร็วสูงและแล่นคร่อมเส้นแบ่งกึ่งกลางถนน เป็นเหตุให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ที่ ๒ ขับสวนทางมาทำให้โจทก์ที่ ๑ได้รับอันตรายสาหัส กระดูกขาขวาหักต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน๒๑,๑๙๕ บาท ไม่สามารถประกอบการงานต่อไปได้ คิดเป็นค่าเสียหาย๑๐๐,๐๐๐ บาท รถของโจทก์ที่ ๒ เสียหายเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทโจทก์ที่ ๒ ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลบาดแผลเป็นเงิน ๒,๓๓๕ บาทร่างกายและอนามัยเสื่อมสภาพคิดเป็นค่าเสียหาย ๕๐,๐๐๐ บาทโจทก์ที่ ๓ เสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท ค่าเสื่อมสภาพต่อร่างกายและอนามัยในปัจจุบันและอนาคตเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๒๐๔,๕๒๐ บาท และขอคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๕,๓๓๙ บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๒๑๙,๘๕๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ที่ ๒มิใช่เจ้าของรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุในทางการที่จ้างตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ เหตุเกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ ๒ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์เสียหายไม่มากดังฟ้อง และโจทก์ที่ ๒ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๑๐๖,๑๙๕ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ จำนวน ๑๐,๓๓๕ บาทแก่โจทก์ที่ ๓ จำนวน ๓,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๑ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เพียงจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นข้อแรกที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่าเหตุเกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ ๒ มิฉะนั้นโจทก์ที่ ๒ ก็มีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุด้วยเพราะโจทก์ที่ ๒ ขับรถให้คนนั่งมาด้วยรวม ๓ คน โจทก์ที่ ๒ เห็นรถของจำเลยที่ ๑ แต่ไกลและเห็นแซงรถจักรยานยนต์คันอื่นขึ้นมา แต่โจทก์ที่ ๒ ก็ยังไม่ชะลอความเร็วไม่ขับแอบชิดซ้าย และไม่หยุดให้รถจำเลยที่ ๑ แล่นผ่านไปก่อนนั้นเห็นว่า แม้โจทก์ที่ ๒ จะขับรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๓นั่งซ้อนท้ายมาด้วย เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่เหตุดังกล่าวก็มิใช่เหตุโดยตรงที่ทำให้รถเกิดเฉี่ยวชนกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถแซงรถผู้อื่นบนสะพานล้ำเส้นทึบแบ่งกึ่งกลางถนนออกไปเฉี่ยวชนรถโจทก์ที่ ๒ ซึ่งขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหตุที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ที่ ๒ หามีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุด้วยไม่ ฯลฯ
ปัญหาสุดท้ายในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ซึ่งจำเลยที่ ๓ฎีกาข้อแรกเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ทั้งสามได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยนั้น เห็นว่าแม้โจทก์ที่ ๒ จะเป็นข้าราชการมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งในส่วนของตนตลอดจนโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นภริยาและโจทก์ที่ ๓ บุตรผู้เยาว์ก็ตาม สิทธิดังกล่าวก็เป็นสิทธิที่รัฐกำหนดให้แก่ข้าราชการ ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยเมื่อโจทก์ทั้งสามถูกทำละเมิดจึงยังมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยทั้งสามผู้ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดได้อีก ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๓ เกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๓ นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดมาในฟ้องเดียวกัน โดยแยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน เป็นส่วนของแต่ละคน มิได้เรียกร้องรวมกันมาเมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ ๓ เรียกร้องไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ ๓จะฎีกาเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๓ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๘ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ฯลฯ
พิพากษายืน