คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8223/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง และการที่ผู้ประกันไปยื่นคำขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และขอยกเลิกตามเอกสารหมาย ร.4ถึง ร.6 แล้ว จากนั้นกลับมีใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เอกสารหมาย ร.7 โดยที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบแทนดังกล่าวตามเอกสารหมายร.7 และมิได้มีการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทไปเป็นของผู้ประกันแล้ว ผู้ประกันไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทไม่อาจนำมาใช้เป็นหลักประกันในการทำสัญญาประกันตัวจำเลยได้การที่ผู้ประกันนำทรัพย์ของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาเป็นหลักประกันในการประกันตัวจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ การบังคับคดีรายนี้จึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ประกอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบนั้นเสียได้เพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควรตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 และ296 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 การขายทอดตลาดรายนี้เป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1330

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ผู้ประกันได้ร่วมกับนายสัง ขอมีกลาง ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โดยผู้ประกันใช้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๖๗๗ เป็นหลักประกัน แล้วผู้ประกันและนายสังผิดสัญญาประกันและไม่ชำระค่าปรับ พนักงานอัยการจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด จนกระทั่งได้มีการขายทอดตลาดและศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้แก่ผู้ซื้อไปแล้ว แต่เจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือแจ้งมาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก.) เลขที่ดังกล่าวมีชื่อนายพรม ขวัญหมั่น เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองไม่ใช่ผู้ประกัน และได้เปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๒๐๙ ตามมาตรา ๕๘ ตรีแห่งประมวลกฎหมายที่ดินไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๒ ทั้งนายพรมได้ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก และผู้ร้องได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนมรดกเป็นของผู้ร้องในฐานะทายาทไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม๒๕๓๙ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งนัดพร้อมโดยออกหมายเรียกผู้ประกันและผู้ร้องมาสอบถามถึงวันนัดผู้ร้องมาศาลแถลงตามหนังสือแจ้งของเจ้าพนักงานที่ดิน และว่าผู้ร้องไม่ทราบว่าผู้ประกันนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๖๗๗มาประกันตัวจำเลยได้อย่างไร ส่วนผู้ประกันไม่มา ศาลชั้นต้นจึงให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อสอบถามผู้ประกันใหม่ โดยให้ออกหมายจับผู้ประกัน แต่ก็ยังไม่ได้ตัวผู้ประกันมาสอบถาม ศาลชั้นต้นจึงให้ทำการไต่สวนโดยออกหมายเรียกเจ้าพนักงานบังคับคดีและเจ้าพนักงานที่ดินมาเป็นพยาน
วันนัดไต่สวนผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายพรมบิดาผู้ร้อง หลังจากนายพรมถึงแก่กรรมทายาทได้ตกลงแบ่งปันมรดกกันโดยให้ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงได้จดทะเบียนโอนมาเป็นของผู้ร้อง ผู้ประกันไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทและมิได้เป็นเจ้าของ ไม่อาจนำไปใช้เป็นหลักประกันตัวจำเลยโดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอมได้ และผู้ร้องไม่ทราบเรื่องการยึดและการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจึงไม่ได้ดำเนินการโต้แย้งคัดค้านใด ๆ ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดและปล่อยที่ดินพิพาทคืนให้แก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนราคาค่าที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อ และให้พนักงานอัยการบังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นของผู้ประกันต่อไป
ผู้ประกันอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
ผู้ประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องและผู้ประกันนำสืบรับกันฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายพรม ขวัญหมั่น บิดาของผู้ร้องและผู้ประกันโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ซึ่งถ่ายจากฉบับเจ้าพนักงานเอกสารหมายร.๑ ต่อมาผู้ประกันได้นำใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ตามเอกสารหมาย ร.๗ มาเป็นหลักประกันร่วมกับนายสัง ขอมีกลางในการประกันตัวจำเลย แล้วผู้ประกันและนายสังผิดสัญญาประกันและไม่ชำระค่าปรับ พนักงานอัยการจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ซึ่งมีผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด แต่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่าที่ดินดังกล่าวมีชื่อนายพรมเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) และได้เปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๒๐๙ ต่อมาได้จดทะเบียนโอนเป็นของผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายพรมตามคำสั่งศาลในฐานะทายาทไปแล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ประกันมีว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทนั้นชอบหรือไม่ ผู้ร้องมีตัวผู้ร้องเป็นพยานเบิกความว่า นายพรมถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๒๒ ที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้ร้องผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวและยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก.) มาตลอด ผู้ประกันเคยไปยื่นคำขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) อ้างว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.)ของที่ดินพิพาทสูญหายไป ตามเอกสารหมาย ร.๔ ผู้ร้องทราบจึงไปยื่นคำคัดค้านผู้ประกันได้ยื่นคำขอยกเลิกออกใบแทนดังกล่าวตามเอกสารหมาย ร.๖ ต่อมาทางราชการเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เป็นโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย ร.๒ และผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ประกันทราบและไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกและจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ตามสารบัญจดทะเบียนท้ายเอกสารหมาย ร.๒ ผู้ร้องเพิ่งทราบว่าผู้ประกันขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก.) ตามเอกสารหมาย ร.๗ เมื่อได้รับหมายเรียกให้มาศาลในคดีนี้และผู้ร้องมีนายพงษ์ศักดิ์ อุดมพงษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาพิมายเป็นพยานเบิกความสนับสนุนโดยรับรองความถูกต้องแท้จริงของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) และโฉนดที่ดิน ตามเอกสารหมาย ร.๑ และ ร.๒ เห็นว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องสอดคล้องต้องกันและสมเหตุผลทั้งพยานบุคคลและเอกสารจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง ส่วนผู้ประกันเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุน ทั้งผู้ประกันมิได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงที่ผู้ประกันเคยไปขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) และขอยกเลิกไปตามเอกสารหมาย ร.๔ ถึง ร.๖ และมิได้นำสืบถึงที่มาของใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓ ก.) เอกสารหมาย ร.๗ ซึ่งเป็นพิรุธ ดังนั้นพยานหลักฐานผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานผู้ประกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง และการที่ผู้ประกันไปยื่นคำขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) และขอยกเลิกตามเอกสารหมาย ร.๔ ถึง ร.๖ แล้ว จากนั้นกลับมีใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เอกสารหมาย ร.๗ โดยนายพงษ์ศักดิ์พยานผู้ร้องเบิกความว่า รายการจดทะเบียนโอนมรดกจากนายพรมมาให้ผู้ประกันตามใบแทนดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อเจ้าพนักงานที่ดินกำกับและประทับตราประจำตำแหน่งไว้ ซึ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่สามารถใช้บังคับได้ ทั้งหากมีการออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ทางสำนักงานที่ดินจะต้องทำหมายเหตุไว้ในสารบัญจดทะเบียนของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเจ้าพนักงาน แต่ตามเอกสารหมาย ร.๑ ซึ่งเป็นสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.)ที่ดินพิพาทฉบับเจ้าพนักงานไม่มีหมายเหตุบันทึกดังกล่าวอยู่ จึงฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบแทนดังกล่าวตามเอกสารหมาย ร.๗ และฟังไม่ได้ว่าได้มีการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทไปเป็นของผู้ประกันแล้ว ผู้ประกันจึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทไม่อาจนำมาใช้เป็นหลักประกันในการทำสัญญาประกันตัวจำเลยได้ การที่ผู้ประกันนำทรัพย์ของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาเป็นหลักประกันในการประกันตัวจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ การบังคับคดีรายนี้จึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๔ ลักษณะ ๒ ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบนั้นเสียได้เพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ และ ๒๙๖ วรรคสองประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕
ส่วนที่ผู้ประกันฎีกาว่า ผู้ซื้อทรัพย์ได้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต สิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไป แม้จะพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าทรัพย์พิพาทไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ประกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ ศาลจึงไม่มีอำนาจเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้นั้น เห็นว่า การขายทอดตลาดรายนี้เป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ ทั้งผู้ประกันก็มิใช่ผู้ซื้อทรัพย์จึงมิอาจกล่าวอ้างบทบัญญัติดังกล่าวมาคุ้มครองผู้ประกันได้
พิพากษายืน.

Share